วันอาทิตย์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

Dcleanfood.com : ประโยชน์และสรรพคุณของกระเทียม !!!

ขออภัยที่ห่างหายไปหลายวัน เนื่องจากไม่สบายและติดภารกิจส่วนตัวครับ วันนี้เราจะมาต่อจากบทความที่แล้วที่เราคำความรู้จักกับกระเทียมกันไป โดยกระเทียมถือเป็นสุดยอดแห่งสมุนไพรไทยชนิดหนึ่งที่มีสรรพคุณที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายของเราเป็นอย่างสูง และนิยมนำมาประกอบอาหารเพื่อสุขภาพและอาหารคลีน (Clean Food) หลากหลายเมนู วันนี้เราจะมาพูดถึงประโยชน์ของกระเทียมกันนะครับ


ประโยชน์ของกระเทียม
ประโยชน์ของกระเทียมในทางตรงก็คือเป็นส่วนประกอบของอาหารคาวได้หลากหลายมาก ทั้งต้ม ผัด แกง ทอด ส่วนประโยชน์ทางอ้อมก็คือสรรพคุณของกระเทียมในด้านยาและการป้องกันรักษาโรคนั่นเอง ซึ่งกระเทียมสามารถให้ประโยชน์ต่อร่างกายของเราในหลายๆด้านอย่างไม่น่าเชื่อ อีกทั้งคนโบราณยังใช้กระเทียมในการรักษาโรคผิวหนังจำพวกกลากเกลื้อน ประโยชน์ของกระเทียมเพิ่มเติมคือช่วยรักษาแผลที่เน่าเปื่อยและเป็นหนอง ป้องกันโรคเบาหวาน และช่วยขจัดพิษสารตะกั่ว

ประโยชน์และสรรพคุณของกระเทียม มีโดยสังเขปดังนี้
1. ช่วยป้องกันและรักษาโรคความดันโลหิต
2. ช่วยป้องกันโรคมะเร็งและเนื้องอก
3. ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด
4. ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
5. บำรุงเลือด ป้องกันโรคโลหิตจาง
6. ช่วยขับลม แก้อาการจุดเสียด
7. ช่วยถ่ายพยาธิ
8. ช่วยป้องกันและรักษาอาการของโรคหวัด
9. ช่วยบำรุงผิวพรรณและป้องกันโรคผิวหนังจากเชื้อรา เช่น กลาก เกลื้อน
10. ช่วยสร้างภูมิต้านทางให้ร่างกายและช่วยป้องกันโรคหัวใจ
11. ช่วยรักษาและลดการเกิดสิว
12. ช่วยรักษาอาการเยื่อบุจมูกอักเสบและโรคอื่นๆในโพรงจมูก
13. ช่วยในระบบไหลเวียนโลหิต ให้โลหิตไหลเวียดีขึ้น
14. กระเทียมมีสรรพคุณช่วยลดอาการท้องผูก ช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานดีขึ้น
15. กระเทียมมีประโยชน์ในการลดอาการปวดฟันได้
16. สรรพคุณของกระเทียมยังช่วยป้องกันอาการโรคเบาหวานได้

พรุ่งนี้เราจะมาพูดกันต่อถึงประโยชน์ของกระเทียมในตอนที่ 2 กันนะครับ จากการที่เราได้เรียนรู้กันแล้วในบทความนี้ถึงสรรพคุณและประโยชน์ของกระเทียมกันไปแล้ว หลายท่านคงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมกระเทียมถึงเป็นสมุนไพรที่ได้รับความนิยมนำมาประกอบอาหารตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน และการที่จะได้รับประโยชน์และสารอาหารจากกระเทียมอย่างเต็มที่คือต้องรับประทานกระเทียมแบบสด ๆ ตามหลักการของอาหารคลีน (Clean Food) ครับ

เนื้อหาบทความจาก : http://www.เกร็ดความรู้.net/


วันอังคารที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

Dcleanfood.com : ทำความรู้จักกับกระเทียม สุดยอดสมุนไพรไทย

วันนี้เรายังอยู่ในเรื่องของพืชผักและสมุนไพรกันอยู่นะครับ โดยวันนี้เราจะมาพูดถึงสมุนไพรที่มีกลิ่นฉุนชนิดหนึ่งซึ่งอยู่คู่กับเมนูอาหารไทยมาอย่างยาวนาน ซึ่งความมีกลิ่นฉุนของสมุนไพรชนิดนี้ทำให้มีผู้นำไปแต่งเรื่องราวว่ากระเทียมสามารถปราบผีดิบได้ ซึ่งผมก็ไม่แน่ใจว่าเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า แต่สิ่งที่จริงแท้แน่นอนโดยไม่ต้องพิสูจน์คือกระเทียมเป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณและคุณค่าทางอาหารมากมายและการรับประทานกระเทียมสามารถรับประทานได้แบบสด ๆ ตามหลักการของอาหารคลีน (Clean Food) หรือนำไปเป็นวัตถุดิบสำหรับปรุงอาหารประเภทต่าง ๆ ก็ได้ และวันนี้เราจะมาพูดถึงประวัติและความเป็นมาของกระเทียมกันครับ


กระเทียม (garlic)

มีชื่อวิทยาศาสตร์คือ Allium sativum Linn. เป็นพืชล้มลุกที่มีหัวอยู่ใต้ดิน อยู่ใน วงศ์ Alliaceae ซึ่งเป็นวงศ์เดียวกับ หอมหัวใหญ่ หอมแดง ส่วนที่ใช้รับประทานคือ ลำต้น ดอก และหัว หัวของกระเทียมเป็นทั้งเครื่องเทศ (spice) และสมุนไพร (herb) ที่มีสารประกอบที่มีกำมะถันเป็นองค์ประกอบในปริมาณมาก ทำให้กระเทียมมีกลิ่นรสเฉพาะตัว ใช้ปรุงอาหาร (cooking) หลายชนิด ทั้ง ต้ม ผัด น้ำพริกแกง ทอด และยังใช้เป็นวัตถุดิบนำมาแปรรูป (food processing) เพื่อการถนอมอาหารและเพิ่มมูลค่า เป็นผลิตภัณฑ์หลายชนิด กระเทียมมีกรดแอมิโน อาร์จินีน (arginine) oligosaccharides, flavonoid, and selenium ซึ่งมีประโยชน์ต่อสุขภาพกระเทียมจำหน่ายในรูปหัวกระเทียมแห้ง ประกอบด้วยกลีบเรียงซ้อนกันประมาณ 4-15 กลีบ บางพันธุ์จะมีเพียงกลีบเดียว เรียกว่า "กระเทียมโทน" แต่ละกลีบมีกาบเป็นเยื่อบางๆสีขาวอมชมพูหุ้มอยู่โดยรอบ กลิ่นหอมฉุน รสชาติเผ็ดร้อน

กระเทียมมีหัวอยู่ใต้ดินแบบ Tunic bulb โดยหัวของกระเทียมมีลักษณะกลมแป้น เส้นผ่านศูนย์กลาง 2-4 ซม. มีแผ่นเยื่อสีขาวหรือสีม่วงอมชมพูหุ้มอยู่ 3-4 ชั้น ซึ่งลอกออกได้ แต่ละหัวมี 6-10 กลีบ กลีบเกิดจากตาซอกใบของใบอ่อน ลำต้นลดรูปลงไปมาก ใบเดี่ยว (Simple leaf) ขึ้นมาจากดิน เรียงซ้อนสลับ แบนเป็นแถบแคบ กว้าง 0.5-2.5 ซม. ยาว 30-60 ซม. ปลายแหลมแบบ Acute ขอบเรียบและพับทบเป็นสันตลอดความยาวของใบ โคนแผ่เป็นแผ่นและเชื่อมติดกันเป็นวงหุ้มรอบใบที่อ่อนกว่าและก้านช่อดอกทำให้เกิดเป็นลำต้นเทียม ปลายใบสีเขียวและสีจะค่อยๆ จางลงจนกระทั่งถึงโคนใบ ส่วนที่หุ้มหัวอยู่มีสีขาวหรือขาวอมเขียว ช่อดอกแบบช่อซี่ร่ม (Umbel) ประกอบด้วยตะเกียงรูปไข่เล็กๆ จำนวนมากอยู่ปะปนกับดอกขนาดเล็กซึ่งมีจำนวนน้อย มีใบประดับใหญ่ 1 ใบ ยาว 7.5-10 ซม. ลักษณะบาง ใส แห้ง เป็นจะงอยแหลมหุ้มช่อดอกขณะที่ยังตูมอยู่ แต่เมื่อช่อดอกบานใบประดับจะเปิดอ้าออกและห้อยลงรองรับช่อดอกไว้ ก้านช่อดอกเป็นก้านโดด เรียบ รูปทรงกระบอกตัน ยาว 40-60 ซม. ดอกสมบูรณ์เพศ กลีบรวม 6 กลีบ แยกจากกันหรือติดกันที่โคน รูปใบหอกปลายแหลม ยาวประมาณ 4 มม. สีขาวหรือขาวอมชมพู เกสรเพศผู้ 6 อัน ติดที่โคนกลีบรวม อับเรณูและก้านเกสรเพศเมียยื่นขึ้นมาสูงกว่าส่วนอื่นๆ ของดอก รังไข่ 3 ช่อง แต่ละช่องมีออวุล 1-2 เม็ด ผลเล็กเป็นกระเปาะสั้นๆ รูปไข่หรือค่อนข้างกลม มี 3 พู เมล็ดเล็ก สีดำ

วันนี้เราทำความรู้จักกับกระเทียมกันไปบ้างแล้ว ซึ่งท่านผู้อ่านบางท่านอาจจะไม่ชอบรับประทานกระเทียม เพราะความที่กระเทียมเป็นสมุนไพรที่มีกลิ่นฉุน แต่ในบทความวันพรุ่งนี้ที่จะนำเสนอในเรื่องของสรรพคุณและประโยชน์ของกระเทียม ท่านผู้อ่านก็จะทราบว่าทำไมบางท่านถึงนิยมรับประทานกระเทียมสด ๆ ซึ่งเป็นการรับประทานตามหลักกการของอาหารคลีน (Clean Food) และอาจจะเปลี่ยนใจหันมาลองรับประทานกระเทียมกันก็เป็นได้ครับ

วันอังคารที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

Dcleanfood.com : รู้จักผักชีให้ดียิ่งขึ้น ก่อนนำมารับประทาน !!!

วันนี้เป็นตอนสุดท้ายของบทความเกี่ยวกับผักชีแล้วนะครับ โดยเราจะพูดถึงผักชีกันโดยละเอียดว่ามีที่มาที่ไปหรือชื่อสามัญและชื่อท้องถิ่นว่าอะไรกันบ้าง หลังจากเมื่อวานที่เราทราบถึงประโยชน์ 5 ประการที่เราจะได้รับจากการรับประทานผักชี ถึงผักชีจะมีประโยชน์และมีสรรพคุณหรือคุณค่าทางอาหารมากมายเหมาะกับการนำไปทำอาหารสุขภาพและอาหารคลีน (Clean Food) แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผักชีจะมีประโยชน์เสมอไปนะครับ การรับประทานผักชีโดยไม่ถูกวิธีก็อาจจะมีอันตรายได้


ผักชีคืออะไร

ผักชีมีชื่อสามัญว่า Coriander

ผักชีมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Coriandrum sativum L. จัดอยู่ในวงศ์ผักชี (APIACEAE หรือ UMBELLIFERAE)

ผักชี มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า ผักชีไทย (ความหมายที่เข้าใจโดยทั่วไป), ผักหอม (นครพนม), ยำแย้ (กระบี่), ผักหอมป้อม ผักหอมผอม (ภาคเหนือ), ผักหอมน้อย (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) เป็นต้น ผักชี มีถิ่นกำเนิดในแถบเมดิเตอร์เรเนียน สำหรับแหล่งเพาะปลูกสำคัญ ๆ ในประเทศไทยได้แก่ จังหวัดราชบุรี จังหวัดนครปฐม และกรุงเทพมหานคร ถ้าเป็นต่างประเทศจะเพาะปลูกในแถบทวีปยุโรป ทวีปอเมริกาใต้ในประเทศอินเดีย เป็นพืชผักที่สามารถปลูกได้ตลอดปี แต่ช่วงที่เหมาะที่สุดคือฤดูหนาว เพราะจะทำให้ผักชีโตเร็วมากผักชีไทย เป็นผักที่มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว จึงเป็นที่นิยมอย่างมากในการนำมาใช้ประกอบอาหารต่าง ๆ เพื่อทำให้อาหารมีกลิ่นหอมน่ารับประทานมากยิ่งขึ้นแถมยังมีคุณประโยชน์ต่อร่างกายหลากหลายประการอีกด้วย และด้วยสีเขียวสดของผักชีและรูปร่างของใบที่มีความเป็นเอกลักษณ์ ผักชีไทยจึงเป็นที่นิยมในการนำมาทำเป็นผักแต่งจานอาหารใช้น่ารับประทานอีกด้วย ซึ่งเป็นที่มาของคำว่า “ผักชีโรยหน้า” ซึ่งมีความหมายว่า ทำอะไรให้ดูดีแค่ภายนอก หรือการทำความดีอย่างผิวเผิน เรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง !

ผลเสียจากการรับประทานผักชีโดยไม่ถูกวิธี
การรับประทานผักชีควรรับประทานในปริมาณที่เหมาะสม หากรับประทานมากจนเกินไปอาจจะทำให้มีกลิ่นตัวแรง มีอาการตาลาย ลืมง่ายได้

จบไปแล้วนะครับสำหรับบทความเกี่ยวกับผักชี ผักที่บางท่านคิดว่าไม่มีประโยชน์หรือไม่มีคุณค่าทางอาหาร แม้ในเมนูอาหารคลีน (Clean Food) จะไม่ได้ใช้ผักชีในปริมาณมากมาทำอาหาร แต่ผักชีก็ยังเป็นผักที่มีสรรพคุณและคุณค่าทางอาหารสูงอยู่ดี แต่ก็ไม่ควรรับประทานผักชีในปริมาณที่มากจนเกินไปนะครับเพราะอาจจะก่อให้เกิดผลเสียต่อร่างกายของเราได้

วันจันทร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

Dcleanfood.com : ประโยชน์ 5 ประการที่ได้จากการรับประทานผักชี

สวัสดีครับจากที่เมื่อวานเราทำความรู้จักกับผักชี ผักที่ใช้โรยหน้าอาหารเพื่อเพิ่มความน่ารับประทานให้กับอาหารชนิดนั้นมากยิ่งขึ้น และในวันนี้เราจะมาทำความเข้าใจถึงประโยชน์จากผักชี ซึ่งมีมากมายหลายประการด้วยกัน ผักชีจึงใช้ได้กับอาหารแทบทุกประเภทรวมถึงอาหารเพื่อสุขภาพและอาหารคลีน (Clean Food) ด้วย


ประโยชน์ 5 ประการจากการรับประทานผักชี

ประโยชน์ข้อที่ 1. เมื่อรับประทานผักชีเข้าไปแล้วร่างกายจะสามารถขับถ่ายของเสียออกมาได้หมด ทำให้ไม่มีสารพิษตกค้างอยู่ภายใน เพราะสารอาหารจากพืช ผัก และผลไม้ จะช่วยทำให้ระบบขับถ่าย และระบบย่อยอาหาร ทำงานได้ดีขึ้น

ประโยชน์ข้อที่ 2. เมื่อรับประทานผักชีและกินผัก ผลไม้ เป็นประจำ จะช่วยทำให้เลือดถูกฟอกให้สะอาด อีกทั้งยังทำให้เซลล์ส่วนต่างๆ ของร่างกายจะเสื่อมช้าลง นอกจากนี้ยังทำให้ผิวพรรณสดใส และมีสุขภาพที่ดีอีกด้วย

ประโยชน์ข้อที่ 3. เมื่อรับประทานผักชีทำให้อวัยวะสำคัญภายในร่างกาย ได้แก่ หัวใจ ไต ม้าม ตับ ปอด ลำไส้ใหญ่ ลำไส้เล็ก กระเพาะปัสสาวะ กระเพาะอาหาร ถุงน้ำดี ฯลฯ แข็งแรง ทำงานได้เป็นปกติสมบูรณ์

ประโยชน์ข้อที่ 4. เมื่อรับประทานผักชีเราจะได้รับสารอาหารซึ่งเป็นสารอาหารพื้นฐานที่มีในพืช ผัก จะช่วยทำให้ร่างกายสามารถต่อต้านสารพิษต่างๆ อาทิ ยาฆ่าแมลง สารเคมี หรือมลภาวะ ต่างๆ ได้

ประโยชน์ข้อที่ 5. การรับประทานผักชี ผักและผลไม้ที่มีขนาดเล็ก ๆ จะทำให้ร่างกายมีภูมิต้านทานสารพิษได้สูงกว่าคนที่ไม่กินผัก และในบรรดาคนที่กินเจเป็นประจำร่างกายจะช่วยให้ไม่เกิดโรคร้ายแรง เช่น โรคมะเร็ง โรรคหัวใจ ไขมันอุดตันในเส้นเลือด ฯลฯ โดยเฉพาะโรคที่เกี่ยวกับระบบขับถ่าย ระบบย่อยอาหาร และทางเดินอาหาร เช่น โรคริสีดวงทวาร มะเร็งในกระเพาะและลำไส้ โรคอาหารไม่ย่อย เป็นต้น

การถือศีลกินผัก หรือกินเจนั้น ไม่ใช่แค่การงดกินเนื้อสัตว์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังถือเป็นช่วงเวลาแห่งการถือศีล ทำบุญ อีกด้วย นอกจากจะช่วยปรับสมดุลในร่างกายแล้ว ยังช่วยทำให้สุขภาพแข็งแรง ระบบขับถ่ายดีขึ้นอีกด้วย
เราพูดถึงประโยชน์ 5 ประการของผักชีกันไปแล้วนะครับ แต่ประโยชน์ของผักชียังไม่หมดเพียงเท่านี้นะครับ พรุ่งนี้เราจะมาพูดกันต่อถึงส่วนที่เหลือ และเผื่อท่านผู้อ่านทุกท่านอาจจะอยากนำผักชีไปประกอบอาหารต่าง ๆ รับประทานกันมากขึ้น ทั้งเมนูอาหารทั่วไปหรือไปประกอบเมนูอาหารเพื่อสุขภาพหรืออาหารคลีน (Clean Food)

วันอาทิตย์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2559

Dcleanfood.com : รู้จักกับผักชี ผักที่ไม่ได้มีดีแค่ไว้ใช้โรยหน้า

สวัสดีครับหลังจากห่างหายไปหลายวัน วันนี้เราจะมาพูดถึงผักที่สามารถใช้ได้กับทุกเมนูอาหารคาวกันนะครับ ผักที่ผมจะพูดถึงก็คือผักชี ที่หลาย ๆ เมนูมักใช้โรยหน้าให้อาหารดูสวยงาน แต่หลายคนอาจจะไม่ทราบว่าผักชีมีประโยชน์อย่างไรบ้าง และทำไมในเมนูอาหารคลีน (Clean Food) จึงมีการใช้ผักชีเป็นส่วนประกอบกัน


ผักชีคืออะไร
ผักชีเป็นพืชล้มลุก ที่มีถิ่นกำเนิดมาจากประเทศในแถบทะเลเมดิเตอเรเนียน ทั้งยังมีหลักฐานทางประวัติศาสตร์บันทึกว่าผักชีถูกใช้เป็นยาและเครื่องเทศมาหลายพันปีแล้ว ผักชีสามารถใช้ประโยชน์ได้ทุกส่วนตั้งแต่ใบ ลำต้น ราก และเมล็ด ใบและลำต้นของผักชีมีสีเขียวสดใสและมีกลิ่นหอม จึงเป็นผักที่มักจะใช้โรยหน้าอาหาร เช่น ก๋วยเตี๋ยว ข้าวผัด น้ำพริก ยำ แกง หรือแม้กระทั่งน้ำจิ้มก็ยังมีผักชีเป็นส่วนประกอบ หรืออย่างขนมสาคูไส้หมูก็ต้องกินแกล้มกับผักชีจึงจะเข้ากันดี

ด้านสรรพคุณทางยาที่มีอยู่ในผักชีก็คือ ช่วยขับเหงื่อ ขับลม แก้ท้องอืด ช่วยให้เจริญอาหาร ขับเสมหะ แก้ปวดหัว แก้ไอ แก้หวัด และลดไข้ คุณค่าสารอาหารอย่างแคลเซียม โพแทสเซียม และเส้นใยอาหาร ยังทำให้การกินผักชีได้ประโยชน์ต่อร่างกาย ทั้งดีต่อกระดูก ระดับความดันโลหิต และระบบขับถ่าย

รากผักชีเป็นเครื่องเทศที่ใช้หมักเนื้อสัตว์ เพื่อดับกลิ่นคาวและเพิ่มกลิ่นหอม เพียงแค่โขลกให้พอแหลก เพิ่มกระเทียมพริกไทยอีกเล็กน้อย ไม่ว่าจะนำไปปรุงต่อเป็นเมนูไหน ก็อร่อยถูกใจ รากผักชียังเป็นส่วนประกอบสำคัญของเครื่องแกงต่าง ๆ ด้วย อีกทั้งมีฤทธิ์ช่วยขับพิษไข้ชนิดหัว เช่น หัดหรือสุกใส

เมล็ดผักชีหรือที่คนไทยเรียกกันชินปากว่า ลูกผักชี เป็นส่วนของผล มีลักษณะกลมรี ผลอ่อนสีเขียว เมื่อแก่จัดเปลี่ยนเป็นสีเหลืองอมน้ำตาล มีกลิ่นหอม รสซ่าอ่อน ๆ เป็นเครื่องเทศที่ใช้กันแพร่หลายในต่างประเทศ การนำลูกผักชีไปใช้ ต้องคั่วด้วยไฟอ่อน ๆ จนส่งกลิ่นหอม จากนั้นใช้เพื่อเพิ่มความหอมให้กับน้ำพริก แกง ใช้หมักเนื้อสัตว์ และแต่งกลิ่นอาหารหรือเครื่องดื่ม

ลูกผักชีมีสรรพคุณช่วยขับลม แก้ท้องอืด แก้กระหาย ช่วยย่อยอาหาร แก้คลื่นไส้อาเจียน แก้ปวดฟัน และช่วยขับปัสสาวะ กลิ่นหอมของลูกผักชีเกิดจากน้ำมันหอมระเหยที่มีลินาโลออล (Linalool) เป็นองค์ประกอบหลัก มีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระ ยับยั้งเชื้อจุลินทรีย์ และยังอาจช่วยยับยั้งเซลล์มะเร็งได้อีกด้วย

ก่อนจะนำต้นผักชีมาใช้ปรุงอาหาร ควรล้างให้สะอาด เพราะจะมีขี้ดินและสิ่งสกปรกติดอยู่มาก โดยเฉพาะตรงโคนราก โดยให้แช่น้ำแล้ว เด็ดก้านใบออกมาล้างทีละก้าน ส่วนตรงรากให้ใช้มีดขูดผิวนอกออกเบา ๆ ผักชีเป็นผักที่เหี่ยวง่าย วิธีเก็บรักษาให้สดนาน คือให้ล้างจนสะอาด รอให้สะเด็ดน้ำ แล้วห่อด้วยกระดาษหรือผ้าขาวบาง ใส่ถุงหรือกล่องพลาสติก แล้วนำไปแช่ตู้เย็น

จบกันไปแล้วนะครับสำหรับข้อมูลเบื้องต้นและความรู้เกี่ยวกับประโยชน์ของผักชี พรุ่งนี้เราจะมาพูดถึงสรรพคุณของผักชีกันต่อนะครับแล้วจะมาดูว่าในเมนูอาหารคลีน (Clean Food) เมนูใดที่ใช้ผักชีเป็นส่วนประกอบกันบ้าง

บทความนี้ได้คัดลอกมาจาก Website : http://prayod.com/

วันพุธที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2559

Dcleanfood.com : ประโยชน์จากผักปวยเล้งหรือ Spinach ต่อร่างกาย !!!

หลังจากเมื่อวานเราทำความรู้จักกับผักปวยเล้งหรือ Spinach กันไปเรียบร้อยแล้ว วันนี้เราจะมาพูดถึงประโยชน์และสรรพคุณของผักปวยเล้งหรือ Spinach กันว่ามีประโยชน์อย่างไรต่อร่างกายของผู้รับประทานบ้าง และเรารับประทาน ผักปวยเล้งแล้วจะมีร่างกายแข็งแรงเหมือนตัวการ์ตูนป๊อปอายได้หรือไม่ แต่ที่แน่นอนคือผักปวยเล้งหรือ Spinach เป็นผักที่อุดมไปด้วยสารอาหารต่าง ๆ และวิตามินต่าง ๆมากมาย มิเช่นนั้นผักปวยเล้งคงไม่ถูกใช้เป็นวัตถุดิบสำคัญชนิดหนึ่งของเมนู อาหารสุขภาพหรือเมนูอาหารคลีน (Clean Food) ได้อย่างแน่นอนครับ


ประโยชน์ของผักปวยเล้ง

จากการที่มีผู้ขนานนามให้ผักปวยเล้งว่า ราชาแห่งผัก หรือสุดยอดแห่งผัก เนื่องจากว่าผักปวยเล้งคุณค่าทางอาหารมากไม่น้อยกว่าผักชนิดอื่นเลย โดยนักวิชาการเชื่อว่าผักปวยเล้งนี้เหมาะสำหรับเด็กและผู้ป่วย เนื่องจากสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายที่อยู่ในผักปวยเล้งนั้นมีสูง ไม่ว่าจะทั้งโปรตีน, วิตามินและแร่ธาตุต่าง ๆ อื่น ๆ อีก ซึ่งหากเรารับประทานผักปวยเล้งเพียง 100 กรัม ก็ช่วยให้ได้รับวิตามินซีสูงเทียบเท่ากับปริมาณที่ร่างกายต้องการในแต่ละวัน และนอกจากนี้ผักปวยเล้งในปริมาณดังกล่าว ยังมีปริมาณเบต้า-แคโรทีนเป็น 2 เท่าของปริมาณที่ร่างกายเราควรได้รับในแต่ละวันเลยทีเดียว

โดยธรรมชาติแล้วผักปวยเล้งจะเป็นผักที่มีรสหวาน มีฤทธิ์เป็นหยาง คือทำให้รู้สึกเย็น และผักปวเล้งยังอุดมไปด้วย โปรตีน น้ำตาล เบต้าแคโรทีน วิตามิน เอ บี ซี ดี เค เหล็ก แคลเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม แมคนีเซียม กรดนิโคติน โฟลิค และสารอาหารอื่นอีกมาก

จากการที่ผักปวยเล้งหรือ Spinach เป็นผักที่มีมีสารอาหารอยู่เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะมีธาตุเหล็กที่มีอยูมากกว่าผักชนิดอื่น ๆ จึงทำให้ผักปวยเล้งมีสรรพคุณในการบำรุงเลือด มีส่วนในการช่วยระบบทางเดินอาหารในการย่อยอาหาร ช่วยให้ร่างกายมีความชุ่มชื้น ช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง ทำให้เม็ดเลือดแดงในร่างกายมีความสมบูรณ์ และพร้อมทั้งกระจายเม็ดเลือดแดงที่สมบูรณ์เหล่านั้นให้กับอวัยวะสำคัญทั้ง 5 ในร่างกายของเราอันได้แก่ หัวใจ, ตับ, ไต, ปอดและม้ามเป็นต้น นอกจากนี้ผักปวยเล้งหรือ Spinach ยังมีส่วนในการช่วยดับกระหาย และส่งผลดีต่อโรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน และโรคกระเพาะรวมถึงโรคริดสีดวงทวาร และผักปวยเล้งยังช่วยให้ร่างกายรู้สึกสดชื่นช่วยดับกระหาย ได้เป็นอย่างดี

ผักป่วยเล้งยังมีส่วนสำคัญในการเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูก เพราะในผักปวยเล้งมีวิตามิน K อยู่ในปริมาณมากและวิตามิน K มีหน้าที่สำคัญในการบำรุงกระดูกและฟัน ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคกระดูกพรุน

ผักปวยเล้งหรือ Spinach มีเบต้าแคโรทีนในปริมาณที่สูงมาก ๆ จึงมีส่วนช่วยในการป้องกันมะเร็งได้เป็นอย่างดี การรับประทานผักปวยเล้งเป็นประจำจะช่วยลดความเสี่ยงมะเร็งลำไส้ใหญ่ ทั้งยังช่วยไม่ให้ดวงตาเกิดต้อต่าง ๆ ก่อนวัยอันควร และในผักปวยเล้งมีโฟลิคที่เป็นสารอาหารที่จำเป็นสำหรับหญิงที่ตั้งครรภ์ ผักปวยเล้งยังช่วยทำให้ผู้รับประทานรู้ผ่อนคลาย จึงมีการนำผักปวยเล้งเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในอาหารบำบัดสำหรับผู้ที่เป็นโรคจิตประสาท

จากบทความนี้จะเห็นได้ว่าผักปวยเล้งมีประโยชน์และคุณค่าทางอาหารสูงมาก เหมาะกับผู้บริโภคทุกเพศทุกวัย และที่สำคัญผักปวยเล้งหรือ Spinach ยังมีฤทธิ์เป็นหยางคือให้ความรู้สึกเย็นเหมาะมากสำหรับประเทศเขตร้อนอย่างประเทศไทย และยังเป็นผักที่มีราคาไม่สูงมากและมีให้รับประทานแทบจะทั้งฤดูกาล ดังนั้นหากเราจะหาเมนูอาหารเพื่อสุขภาพหรืออาหารคลีน (Clean Food) ที่มีผักปวยเล้งเป็นส่วนประกอบก็จะช่วยให้สุขภาพของเราแข็งแรงได้มากยิ่งขึ้นครับ

วันอังคารที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2559

Dcleanfood.com : ผักปวยเล้งหรือ Spinach สุดยอดผักเพิ่มพลังของป๊อปอาย

สวัสดีครับวันนี้เราจะมาพูดถึงผักที่ตัวการ์ตูนยอดนิยมอย่าง ป๊อปอาย รับประทานเพื่อเพิ่มพลังหลายท่านมักจะเข้าใจผิดว่า Spinach คือผักโขม แต่แท้ที่จริงแล้วคำว่า Spinach ในภาษาอังกฤษจะหมายถึงผักปวยเล้ง(ซึ่งบทความหลังจากนี้เราจะพูดถึงลักษณะโดยแท้จริงของผักโขมว่ามีความเหมือนหรือแตกต่างกับผักปวยเล้งอย่างไรบ้าง) หลายคนคงสังเกตุเห็นว่าป๊อปอายมักจะรับประทานผักปวยเล้งหรือ Spinach แบบสด ๆ เพื่อเพิ่มพลังเพราะการรับประทานผักปวยเล้งสด ๆ ตามหลักการของอาหารคลีน (Clean Food) นั้นจะทำให้ได้รับสารอาหารจากผักปวยเล้งอย่างเต็มที่โดยหากเรารับประทานผักปวยเล้งหรือ Spinach สด ๆ อาจจะมีพลังเหมือนป๊อปอายก็เป็นไปได้นะครับ

ทำความรู้จักกับผักปวยเล้งหรือ Spinach
ผักปวยเล้งเป็นผักที่มีต้นกำเนิดมาจากประเทศแถบตะวันออกกลางหรืออาหรับ โดยผักปวยเล้งมีชื่อภาษาอังกฤษว่า Spinach สำหรับคนที่เคยดูการ์ตูนเรื่องป๊อปอายคงคุ้นเคยกับคำนี้ดี ปวยเล้งเป็นผักในตระกูลเดียวกับผักโขม (Amaranth) ซึ่งคนไทยส่วนใหญ่มักเข้าใจผิดว่าผักโขมคือ Spinach ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิด ชาวตะวันออกกลางหรืออาหรับให้สมญานามกับผักปวยเล้งว่าเป็น สุดยอดแห่งผัก เพราะมีประโยชน์และคุณค่าทางโภชนาการสูงมาก และการที่ Spinach มีชื่อเป็นภาษาจีนว่าปวยเล้งนั้นก็มีสาเหตุจากการที่ผักชนิดนี้ได้ถูกบันทึกครั้งแรกในประวัติศาสตร์โดยราชวงศ์ถังของจีน ซึ่งประเทศจีนในยุคนั้นเป็นยุคที่มีการถวายเครื่องราชบรรณาการกันระหว่างประเทศต่าง ๆ โดยในประวัติศาสตร์ได้กล่าวว่า ผักปวยเล้งเป็นหนึ่งในเครื่องราชบรรณการที่มีมูลค่าค่อนข้างสูงมากเลยทีเดียว

ผักปวยเล้งมีชื่อในภาษาจีนกลางแมนดารินเรียกว่า ปอไช่ ต้นกำเนิดของผักปวยเล้งในประเทศไทยนั้นตามการคาดคะเนผักปวยเล้งน่าจะเป็นผักมาจากประเทศจีนโดยมาพร้อมกับการอพยพของชาวจีนในสมัยก่อนๆ ตอนนี้จึงเป็นผักที่หากินได้ง่ายในตลาดทุกแห่งของบ้านเรา เป็นผักที่มีคุณค่าทางอาหารมากมาย และเป็นผักที่นิยมรับประทานกันอย่างกว้างขวางในประเทศไทย

ลักษณะของผักปวยเล้ง
ผักปวยเล้งเป็นพืชล้มลุกอายุหนึ่งถึงสองปี โดยลำต้นมีความสูง 20-150 เซนติเมตร ลักษณะใบกระจุกแบบกุหลาบซ้อน แผ่นใบเป็นรูปไข่ เป็นเหลี่ยม หรือรูปหัวลูกศร โคนใบเป็นพูกลมหรือแผ่นใบเรียบหรือยับย่น ใบมีได้ทั้งสีเขียวแก่หรือสีเขียวอ่อน ก้านใบยาว 6-12 เซนติเมตร โคนก้านสีเขียว, ชมพู, หรือแดงปนม่วง ช่อดอกยาว 80-150 เซนติเมตร ดอกเพศเมียออกเป็นกระจุกอยู่ตามซอกใบจำนวนมาก ดอกปวยเล้งไม่มีก้านดอกโดยแต่ละช่อมี 7-20 ดอก ดอกเพศผู้เรียงเป็นช่อดอกแบบช่อเชิง บางครั้งพบทั้งดอกสมบูรณ์เพศโดยมีทั้งดอกเพศผู้และดอกเพศเมียในต้นเดียวกัน

ทำความรู้จักกับผักปวยเล้งหรือ Spinach กันไปแล้วนะครับ หลายท่านที่มองลักษณะของผักปวยเล้งแล้วอาจจะคิดว่าผักปวยเล้งคงจะเหม็นเขียวและรับประทานยาก แต่จริง ๆ แล้วผักปวยเล้งเป็นผักที่รับประทานได้ง่ายและนำไปประกอบอาหารได้หลากหลายเมนู สำหรับท่านที่ยังไม่มันใจที่จะรับประทานผักปวยเล้งสด ๆ ตามหลักการของอาหารคลีน (Clean Food) ก็ลองนำผักปวยเล้งไม่ผ่านกระบวนการปรุงหรือเอาไปเป็นส่วนประกอบของเมนูอาหารอื่น ๆ เพื่อเพิ่มความคุ้นเคยก่อนก็ได้นะครับ