วันพฤหัสบดีที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2558

Dcleanfood.com : ของดอง อันตรายต้องรู้

ในบทความ 2 ตอนที่แล้วเราพูดถึงกิมจิ (Kimchi) ผักดองสัญชาติเกาหลีที่ได้รับความนิยมแพร่หลายไปแล้วทั่วโลกโดยเฉพาะในประเทศญี่ปุ่นและประเทศไทย สาเหตุประการสำคัญที่ทำให้กิมจิได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในประเทศไทยคือกิมจิ เป็นอาหารที่มีรสชาติจัดจ้านถูกปากคนไทย โดยมีทั้งรสเปรี้ยวและเผ็ดและยังมีกลิ่นและรสชาติของสมุนไพรที่ใช้เป็นส่วนผสมอยู่อีกมากมายหลายชนิด ที่เมนูอาหารเพื่อสุขภาพหรือเมนูอาหารคลีน (Clean Food) ไม่นิยมนำของหมักดองมาเกี่ยวข้องเนื่องจากของหมักดองหากทำไม่สะอาดถูกหลักอนามัยหรือไม่ถูกต้องตามขั้นตอนก็จะก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายของผู้บริโภคได้ วันนี้เราจะมาพูดกันถึงอันตรายจากของดองทั้งผักดองและผลไม้ดองที่คนไทยโดยคุณผู้หญิงชอบรับประทานกันครับ ว่ามีอันตรายอย่างไรบ้าง

 Clean Food

อันตรายจากของดอง
ในอดีตการนำผัก, ผลไม้หรือแม้กระทั่งเนื้อสัตว์ชนิดต่าง ๆ ที่เป็นวัตถุดิบสด ๆ มาผ่านกระบวนการหมักหรือดอง ซึ่งกระบวนการหมักหรือดองเป็นกระบวนการถนอมอาหารวิธีหนึ่งซึ่งคิดค้นและอยู่คู่คนไทยตั้งแต่โบราณมาจนถึงยุคปัจจุบัน โดยในอดีตการหมักดองมักจะเกิดขึ้นภายในครัวเรือน เนื่องจากวัตถุดิบสดๆ ที่หามาได้ไม่ว่าจะเป็นเนื้อสัตว์ชนิดต่าง ๆ ผักหรือผลไม้ มีจำนวนมากจนไม่สามารถรับประทานหมดได้ในคราวเดียว จึงมีการคิดค้นกระบวนการหมักดองเพื่อให้สามารถเก็บอาหารไว้รับประทานได้นานขึ้น ซึ่งวัตถุดิบและส่วนผสมที่ใช้ในการหมักดองจะได้จากธรรมชาติไม่มีสารเคมีเข้ามาเจือปน ทำให้ของหมักดองในสมัยก่อนเป็นอาหารที่มีคุณค่า มีประโยชน์ และยังเป็นอาหารที่มีรสชาติจัดจ้านถูกใจคนไทยอีกด้วย

ต่อมาเมื่ออาหารหมักดองได้รับความนิยมมากขึ้น จึงมีผู้ทำอาหารหมักดองขึ้นเพื่อจำหน่ายโดยเฉพาะ ซึ่งในปัจจุบันเราจะเห็นรถเข็นขายอาหารหมักดองโดยเฉพาะรถเข็นขายผลไม้ดองอยู่มากมายแทบจะทุกซอยในกรุงเทพมหานครและจังหวัดอื่นๆ เพราะของหมักดองเป็นของที่รับประทานง่าย, มีรสชาติจัดจ้านถูกปากคนไทยและที่สำคัญราคาขายยังไม่แพงสามารถรับประทานกันได้แบบสบายกระเป๋า แต่เมื่อมีการผลิตของหมักของดองเพื่อจำหน่าย ก็จะมีผู้ขายที่ไร้จรรยาบรรณผลิตของดองที่เป็นอันตรายและไม่ได้คุณภาพนำออกมาจำหน่าย เพื่อเพิ่มรสชาติให้เข้มข้นยิ่งขึ้น หรือเพื่อให้อาหารหมักดองสามารถเก็บไว้รับประทานได้นานกว่าเดิม สารเคมีอันตรายตัวสำคัญที่เรามักพบในอาหารหมักดองโดยเฉพาะอาหารจำพวกผลไม้ดอง ได้แก่ ขัณทสกร หรือชื่อทางวิทยาศาสตร์คือสาร ซัคคาริน ขัณทสกรเป็นสารเคมีที่ให้ความหวานเช่นเดียวกับน้ำตาล แต่ขัณทสกรจะให้ความหวานมากกว่าน้ำตาลถึง 300 เท่าเลยทีเดียว ผู้ผลิตอาหารหมักดองโดยเฉพาะผู้ผลิตผลไม้ดองจึงนิยมนำขันทสกรมาใช้แทนน้ำตาล เนื่องจากกระบวนการทำผลไม้ดองหรือแช่อิ่มนั้นต้องใช้น้ำตาลในปริมาณมาก ทำให้ต้นทุนการผลิตสูง อาจจะทำให้ได้กำไรต่อหน่วยน้อย แต่การใช้ขัณทสกรแทนน้ำตาลจะใช้ปริมาณขัณทสกรเพียงเล็กน้อยก็จะได้ปริมาณความหวานเทียบเท่ากับน้ำตาล และทำให้ได้กำไรต่อหน่ายเพิ่มขึ้น โดยไม่มีการคำนึงถึงว่าขัณทสกรเป็นสารอันตราย เป็นสารก่อมะเร็ง และเป็นสารให้ความหวานที่หลายประเทศห้ามใช้ในการประกอบอาหารโดยเด็ดขาด

สำหรับท่านที่ชอบรับประทานอาหารหมักดองโดยเฉพาะผลไม้ดอง ที่คุณผู้หญิงนิยมซื้อหามารับประทานเป็นประจำทุกวัน ก็ควรหลีกเลี่ยงหรืองดรับประทานผลไม้ดองจำพวกนี้ได้ก็จะเป็นการดีนะครับ เพราะหากรับประทานเข้าไปอาจจะเป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคร้ายแรงต่าง ๆ มากมายเช่นโรคมะเร็งชนิดต่าง ๆ หรือโรคเบาหวานเป็นต้น ทางที่ดีควรหันมารับประทานผลไม้ตามหลักการของอาหารคลีน (Clean Food) คือรับประทานผลไม้สด ที่ปลูกด้วยวิธีการธรรมชาติโดยไม่ใช้สารเคมี จะเป็นการดีที่สุดครับ

วันพุธที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2558

Dcleanfood.com : คุณค่าทางอาหารของกิมจิ (Kimchi)

  ทำความรู้จักกับกิมจิ(Kimchi)กันไปบ้างแล้วนะครับในบทความก่อนหน้านี้ กิมจิเป็นอาหารที่กำเนิดมาจากประเทศเกาหลีเนื่องจากคนเกาหลีตั้้งแต่สมัยโบราณนิยมรับประทานผักชนิดต่าง ๆ มาก และผักที่ใช้มาทำกิมจิก็มีปลูกอยู่ทั่วไปในประเทศเกาหลีและสิ่งหนึ่งที่เราต้องยอมรับคือวิธีการหรือภูมิปัญญาในการปรุงและพัฒนาสูตรการทำกิมจิของคนเกาหลีจนได้รับความนิยมมากในประเทศ และยังแพร่หลายออกไปยังประเทศใกล้เคียงเช่นประเทศจีนหรือประเทศญี่ปุ่นในเวลาต่อมา และในปัจจุบันกิมจิก็ได้รับความนิยมและนำไปเป็นเครื่องเคียงของอาหารมากมายหลาย ๆ ชนิดของหลาย ๆ ประเทศในโลก โดยเฉพาะในประเทศญี่ปุ่นซึ่งถือว่าเป็นประเทศคู่รักคู่แค้นของประเทศเกาหลีมาอย่างยาวนาน ก็ยังนำกิมจิไปเป็นเครื่องเคียงในอาหารของชาติตัวเอง โดยมีการเรียกชื่อกิมจิเสียใหม่ว่า คิมุชิ (Kimuchi) เพื่อให้เข้ากับความหมายและการออกเสียงในภาษาญี่่ปุ่น โดยกิมจิที่ใช้เป็นเครื่องเคียงของอาหารญี่ปุ่นนี้ จะมีการปรับปรุงรสชาติให้เข้ากับอาหารญี่ปุ่นมากขึ้นโดยอาจจะมีความเผ็ดหรือรสชาติที่จัดจ้านน้อยลงไป การรับประทานอาหารคลีน (Clean Food)แล้วมีเครื่องเคียงเป็นกิมจิของเกาหลี ก็เป็นเมนูอาหารที่น่าสนใจและน่ารับประทานเมนูหนึ่งเลยนะครับ โดยวันนี้เราจะพูดถึงประโยชน์และคุณค่าทางอาหารของกิมจิกัน

 Clean Food


ประโยชน์และคุณค่าทางอาหารของกิมจิ
   โดยธรรมชาติกิมจิ (Kimchi)จะมีรสเผ็ด เปรี้ยว และมีกลิ่นเฉพาะตัว กิมจิที่เรารับประทานกันเข้าไปนั้นมีผักและสมุนไพรเป็นส่วนประกอบหลัก ทำให้การรับประทานกิมจิเข้าไปร่างกายจะไม่มีความเสี่ยงของภาวะโรคอ้วน นอกจากนี้กิมจิยังมีส่วนช่วยให้ระบบการหมุนเวียนโลหิตของร่างกาย ทำงานเป็นปกติทำให้ระบบขับถ่ายดีขึ้นและทำให้ผิวพรรณสดใสอีกด้วย เนื่องจากกิมจิอุดมไปด้วย วิตามินเอ (Vitamin A) ไทอะมีน บี 1 Thiamine (B1) ไรโบฟลาวิน บี2 Riboflavin (B2)วิตามินซี แคลเซียมธาตุเหล็ก และสารคาโรทีน (Carotene) และนอกจากนี้กิมจิยังมีสรรพคุณช่วยย่อยอาหาร สรรพคุณต่างๆในกิมจิได้มาจากส่วนผสมหลักที่ทำมาจากผักหลายชนิดซึ่งมีปริมาณของกากใยและ Fiber สูง มีแคลอรี่ต่ำ ซึ่งในกิมจิ 100 กรัม จะมีแคลอรี่อยู่เพียง 32 กิโลแคลลอรี่เท่านั้น และนอกจากนี้ส่วนผสมอย่าง หัวหอม พริกและกระเทียมที่เป็นเครื่องปรุงในกิมจิ ก็ล้วนเป็นผักที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพทั้งสิ้น และกิมจิยังมีจุลินทรีย์แลคโตบาซิลลัส (Lactobacillus) ที่ให้กรดแลคติก (Lactic Acid) ที่เกิดจากการหมักดองกิมจิ หลังจากการดองกิมจิไปเป็นเวลา 3 อาทิตย์ ปริมาณของวิตามินบี 1 วิตามินบี 2 และวิตามินบี 12 ในกิมจิก็จะเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า และกรดแลคติกซึ่งเป็นสารอาหารสำคัญที่ร่างกายได้รับจากการรับประทานกิมจินั้นจะมีส่วนอย่างมากในการช่วยยับยั้งแบคทีเรียที่เป็นอันตรายต่อร่างกายไม่ให้เจริญเติบโตภายในลำใส้ของเรา และยังมีหน้าที่ป้องกันโรคต่างๆ ได้อีกเช่นโรคอ้วน โรคมะเร็งกระเพาะอาหาร และกรดแลคติกนี้เอง ที่ทำให้กิมจิมีรสเปรี้ยว ซึ่งมาจากจุลินทรีย์และแบคทีเรียที่มีประโยชน์ทำให้กิมจิเป็นอาหารที่มีส่วนช่วยในเรื่องการขับถ่ายได้เป็นอย่างดี และยังช่วยยับยั้งอาการท้องผูก และมะเร็งลำไส้ ส่วนพริกและกระเทียมที่ใช้เป็นส่วนประกอบในการทำกิมจิ มีส่วนช่วยอย่างมากในการป้องกันการจับตัวเป็นก้อนของเลือดและการลดคลอเรสเตอรอล ( Cholesterol ) ในเลือดอีกด้วย

   ในปัจจุบันกิมจิหาซื้อได้ง่ายตามร้านสะดวกซื้อและห้างสรรพสินค้าต่าง ๆ และยังมีกิมจิที่ผลิตขึ้นในประเทศไทยอีกมากมายหลายยี่ห้อนะครับ หากรับประทานอาหารคลีน (Clean Food) หรืออาหารเพื่อสุขภาพแล้วรู้สึกเบื่อหรือไม่อร่อย ลองนำกิมจิมาเป็นเครื่องเคียงในอาหารมื้อนั้นก็จะช่วยเพิ่มรสชาติอาหารให้ดีขึ้นได้ครับแต่ต้องรับประทานในปริมาณที่พอเหมาะไม่มากจนเกินไปนะครับ เพราะถึงกิมจิจะเป็นอาหารที่มีประโยชน์แต่ถ้าไม่ผ่านกระบวนการปรุงที่ถูกต้องหรือมีส่วนผสมที่ผิดเพี้ยนไปก็อาจจะก่ออันตรายแก่ร่างกายของผู้รับประทานได้ครับ ซึ่งเราจะมาพูดถึงเรื่องของอันตรายที่อาจได้รับเมื่อรับประทานกิมจิกันในวันพรุ่งนี้ครับ

วันอังคารที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2558

Dcleanfood.com : กิมจิ ผักดองเกาหลีแสนอร่อย

   3 ตอนที่ผ่านมาเราพูดถึงปลาดิบหรือซาชิมิ (Sashima) ซึ่งเราได้รับวัฒนธรรมการรับประทานปลาดิบมาจากประเทศญี่ปุ่น และวันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับผักดองสีสันสดใสรสชาติจัดจ้านซึ่งเป็นเครื่องเคียงในหลากหลายเมนูอาหารเกาหลี อย่างกิมจิ (Kimchi) กันครับ กิมจิได้รับความนิยมมาอย่างแพร่หลายและยาวนานในประเทศเกาหลี และได้เผยแพร่เข้าสู่ประเทศไทยตามกระแสความนิยมในวัฒนธรรมต่าง ๆ ของเกาหลีไม่ว่าจะเป็นเรื่องของละครหรือเพลงปฏิเสธไม่ได้เลยว่าช่วง 10 ปีหลังนี้ วัฒนธรรมเกาหลีได้เข้ามามีบทบาทอย่างมากกับสังคมไทย โดยก่อนหน้านี้ประเทศไทยก็มีการรับประทานผักดองกันอยู่แล้ว แต่ส่วนใหญ่ผักดองของไทยจะให้รสชาติเปรี้ยวเพียงอย่างเดียว แต่กิมจิของเกาหลีจะให้รสชาติเปรี้ยวและเผ็ดได้อย่างกลมกล่อม ทำให้เมนูกิมจิได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วในประเทศไทย แต่กิมจิรวมถึงผักดองชนิดต่าง ก็ไม่จัดอยู่จำพวกของอาหารคลีน (Clean Food)นะครับ เพราะอาหารคลีน (Clean Food) จะเน้นการรับประทานของสดที่ไม่ผ่านการปรุงแต่งหรือหมักดอง เอาล่ะครับตอนนี้เรามาทำความรู้จักกิมจิ (Kimchi)กันให้มากขึ้นดีกว่าครับ

 Clean Food

กำเนิดกิมจิ
สมัยก่อนในประเทศเกาหลีเมื่อเข้าสู่ฤดูหนาว อากาศจะมีความหนาวเย็นมากและอากาศที่หนาวเย็นนี้เองที่เป็นอุปสรรคสำคัญในการปลูกผักของคนเกาหลี จึงทำให้มีการคิดหาวิธีที่จะเก็บผักไว้รับประทานในหน้าหนาวเนื่องจากคนเกาหลีนิยมรับประทานผักเป็นอย่างมาก จึงนำไปสู่การคิดค้นวิธีการถนอมอาหารด้วยวิธีการหมักดอง ซึ่งการกำเนิดของกิมจิในประเทศเกาหลีน่าจะถือกำเนิดในศตวรรษที่ 7 โดยกิมจิสามารถแบ่งได้ตามช่วงเวลาได้ดังนี้คือ กิมจิในสมัยโบราณ, กิมจิในสมัยราชวงศ์โชซอน และกิมจิสมัยใหม่หลังยุคโซชอน

เดิมทีกิมจิก็เป็นผักดองธรรมดาที่มีรสชาติเปรี้ยว ๆ เค็ม ๆ เหมือนผักดองทั่วไปนั่นเอง แต่ในช่วงศตวรรษที่ 12 ได้มีการคิดค้นการทำกิมจิในรูปแบบใหม่ขึ้น โดยมีการนำส่วนผสมของเครื่องเทศและเครื่องปรุงรสต่าง ๆ ผสมลงไป จนมาถึงศตวรรษที่ 18 ได้มีการทดลองนำพริกป่นมาเป็นส่วนผสมหนึ่งในการทำผักดองและทำให้พริกเป็นส่วนผสมที่สำคัญที่สุดของผักดองมาจนถึงปัจจุบัน และเมื่อศตวรรษที่ 19 จึงมีการนำกระหล่ำปลีมาใช้ในการทำกิมจิ จนทำให้กิมจิกระหล่ำปลีได้รับความนิยมอย่างสูงมาจนถึงปัจจุบัน

วิวัฒนาการของคำว่ากิมจิ (Kimchi)
จากการตั้งข้อสงสัยของคนเกาหลีว่าคำว่ากิมจิ มีรากศัพท์มาจากคำว่าอะไรกันแน่ จนมีคนตั้งข้อสังเกตว่าคำว่ากิมจิน่าจะมาจากคำว่าชิมเช (Shimchae) ที่แปลว่าผักดองเค็มในภาษาเกาหลี แต่ด้วยระยะเวลาและสำเนียงการพูดที่เปลี่ยนไปของคนเกาหลีคำว่า ชิมเช จึงกลายมาเป็นคำว่ากิมจิจนถึงปัจจุบัน

ผ่านไปแล้วนะครับสำหรับตอนแรกของกิมจิ (Kimchi) ผักดองที่ได้รับความนิยมสูงสุดของประเทศเกาหลี การหมักหรือดองผักก็เป็นการวิธีการถนอมอาหารประเภทหนึ่ง แต่การรับประทานผักสดที่ปลอดภัยจากสารเคมีตามหลักของอาหารคลีน (Clean Food) ก็จะได้รับประโยชน์จากผักอย่างเต็มที่พรุ่งนี้เรามารู้จักกิมจิกันต่อนะครับโดยจะพูดถึงประโยชน์ที่ได้รับจากการรับประทานกิมจิ (Kimchi) ครับ

วันจันทร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2558

Dcleanfood.com : อันตรายที่แฝงมากับปลาดิบหรือซาชิมิ (Sashimi)

เมื่อวานเรากล่าวถึงประโยชน์ที่ได้รับจากการรับประทานปลาดิบหรือซาชิมิกันไปแล้วนะครับ แน่นอนว่าปลาที่นิยมนำมาทำเป็นซาชิมิในประเทศญี่ปุ่นคือปลาทะเลน้ำลึกที่ชาวประมงจับมาได้และเลือกเอาเฉพาะส่วนที่สามารถนำมาทำเป็นปลาดิบ หรือซาชิมิได้ ซึ่งการนำปลาชนิดอื่นมาทำเป็นซาชิมิก็อาจจะเกิดอันตรายร้ายแรงตามมาได้ชาวญี่ปุ่นจึงไม่แนะนำ การรับประทานปลาดิบเป็นวัฒนธรรมการรับประทานอาหารที่อยู่คู่กับคนญี่ปุ่นมาอย่างยาวนาน ถึงจะไม่ตรงตามหลักการของอาหารสุขภาพ หรืออาหารคลีน(Clean Food) เพราะเนื้อสัตว์ดิบอาจมีอันตรายบางอย่างแฝงอยู่ วันนี้เราจะมาพูดถึงอันตรายที่อาจจะมาจากปลาดิบหรือซาชิมิ (Sashimi) กันครับ

 Clean Food

อันตรายที่มากับปลาดิบหรือซาชิมิ (Sashimi)
1. อันตรายจากพยาธิ
จากความเข้าใจก่อนหน้านี้ว่าการรับประทานปลาดิบหรือซาชิมิที่มาจากปลาทะเลนั้นจะไม่มีอันตรายจากพยาธิ แต่ในความเป็นจริงแล้วในตัวปลาทะเลหรือปลาทะเลน้ำลึกอาจจะมีพยาธิชนิดหนึ่งอาศัยหรือฟักตัวอยู่ พยาธิชนิดที่กล่าวถึงนี้มีชื่อว่า อะนิซาคิส หรือที่รู้จักกันในชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Anisakis simplexพยาธิอะนิซาคิส (Anisakis simplex) ส่วนใหญ่จะพบในปลาที่นำเข้ามาจากต่างประเทศและพบในปลาจำพวก ปลาคอด ปลาแซลมอน ปลาเฮอริ่ง ลักษณะพยาธิอะนิซาคิส มีลักษณะเป็นพยาธิตัวกลม สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ตัวโตเต็มวัยมีความยาวถึงประมาณ 2-5 ซม. พบอยู่ในกระเพาะของปลาโลมา ปลาวาฬ และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในทะเลชนิดอื่นๆ ไข่ของพยาธิจะปนออกมากับอุจจาระ เจริญเป็นตัวอ่อนอยู่ในทะเล มีพาหะเป็นพวกกุ้ง ปลาน้ำเค็มตัวเล็กๆ ซึ่งจะรับประทานของเสียจากร่างกายปลาโลมาหรือปลาวาฬเข้าไป และเมื่อสัตว์เหล่านี้ถูกกินด้วยปลาตัวอื่น พยาธิก็จะฝังตัวอยู่ในกล้ามเนื้อของปลาเหล่านั้น ซึ่งคนที่รับประทานปลาดิบที่มีพยาธินี้อยู่ก็จะติดเชื้อพยาธิได้ จากนั้นพยาธิจะถูกปลดปล่อยออกมาจากเนื้อปลาที่รับประทานเข้าไป แต่พยาธิอะนิซาคิสอาจจะถูกทำลายได้โดยการถูกย่อยโดยน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร หรืออาจจะถูกขับออกมาจากกระเพาะอาหารเสียก่อนโดยการอาเจียน ซึ่งก็จะไม่ทำให้เกิดโรค แต่ในกรณีที่พยาธิไม่ถูกขับออกไปจากร่างกาย พยาธิอาจจะชอนไชไปตามทางเดินอาหาร แล้วอยู่ในลำไส้ และอยู่นอกลำไส้ภายในช่องท้องก็ได้ แต่ก็มีโอกาสเกิดขึ้นค่อนข้างน้อยเพราะในปี 2510 ถึงปัจจุบันมีรายงานว่าพบผู้ป่วยในประเทศญี่ปุ่นประมาณหลักพันราย โดยมีการพบการเกิดก้อนทูมในกระเพาะอาหาร ถึงจะมีโอกาสเกิดขึ้นค่อนข้างน้อยแต่ก็ถือเป็นอันตรายที่น่ากลัวทีเดียว

อาการของคนที่มีพยาธิอะนิซาคิส
อาการของคนที่ร่างกายพยาธิอะนิซาคิสคือ ภายหลังจากได้รับพยาธิ 1 ชั่วโมง อาจมีอาการปวดท้อง ปวดในกระเพาะอาหาร คลื่นไส้อาเจียน และอาจมีอาการคล้ายๆ ไส้ติ่งอักเสบ อาจจะทำให้วินิจฉัยผิดพลาดเป็นโรคแผลในกระเพาะอาหาร หรือไส้ติ่งอักเสบได้ บางรายอาจถ่ายออกมาเป็นมูกเลือด ภายใน 1-5 วัน ผู้ป่วยอาจจะอาเจียนออกมาเป็นตัวพยาธิ หรืออาจจะพบพยาธิเมื่อส่องกล้องเข้าไปในหลอดอาหาร เนื่องจากตัวอ่อนไม่สามารถเจริญและวางไข่ในคนได้ ดังนั้นการ ตรวจอุจจาระเพื่อหาไข่พยาธิชนิดนี้จึงไม่ช่วยในการวินิจฉัย การรักษามีทางเดียวคือการเอาตัวพยาธิออกมาจากผนังกระเพาะหรือบริเวณเนื้อเยื่อที่พยาธิเข้าไปฝังตัวอยู่ โดยการผ่าตัด เพราะยาฆ่าพยาธิใช้ไม่ได้ผล

2. อันตรายจากสารปรอท
ทะเลเป็นแหล่งน้ำเปิดเช่นเดียวกับ แม่น้ำและทะเลสาบ ข้อเสียของการเป็นแหล่งน้ำแบบเปิดคืออาจจะทำให้มีสารอันตรายต่าง ๆ ปนเปื้อนอยู่มากเนื่องมาการรั่วไหลของสารอันตรายต่าง ๆ ลงสู่ทะเล และอาจจะทำให้สิ่งมีชีวิตต่าง ๆในทะเลปนเปื้อนสารพิษ โดยเฉพาะสารปรอท ซึ่งเป็นสารพิษที่มีอันตราต่อระบบประสาทซึ่งในประเทศไทยรู้จักกันดี บรรดาปลานักล่าตัวใหญ่ในทะเลยจะมีระดับปรอทสูงสุด รวมถึงปลาทูน่าที่เรานำมาทำเป็นปลาดิบหรือซาชิมิดังนั้น ผู้บริโภคทุกคน โดยเฉพาะเด็กเล็ก สตรีมีครรภ์ หรือคนที่วางแผนจะตั้งครรภ์ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานปลาดิบหรือซาชิมิที่มาจากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือหรือมีการรับรองคุณภาพระดับสารปรอทในเนื้อปลา

ถึงโอกาสในการรับประทานปลาดิบหรือซาชิมิแล้วจะเกิดพยาธิอะนิซาคิส หรือสารปรอทเข้าสู่ร่างกายจะมีโอกาสค่อนข้างน้อย แต่อันตรายและความรุนแรงของโรคที่เราอาจจะได้รับเป็นอันตรายที่ค่อนข้างรายแรงนะครับ ทางที่ดีที่สุดคือเลือกรับประทานเนื้อปลาที่ปรุงสุกตามหลักการของอาหารคลีน (Clean Food) จะดีที่สุดครับ เพราะเนื้อปลาเป็นเนื้อชนิดที่ปรุงสุกได้ง่ายและร่างกายสามารถย่อยได้อย่างรวดเร็ว ถ้าท่านใดหลีกเลี่ยงการรับประทานปลาดิบหรือซาชิมิได้ก็ควรหลีกเลี่ยงนะครับ

วันอาทิตย์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2558

Dcleanfood.com : ประโยชน์จากปลาดิบหรือซาชิมิ (Sashimi)

จากตอนที่แล้วเราได้ทำความรู้จึก ซาชิมิ(Sashimi) กันไปแล้วนะครับว่ามีประวัติความเป็นมาอย่างไรบ้าง ซาชิมิที่เรารับประทานและมีจำหน่ายกันในประเทศไทยส่วนใหญ่ได้แก่ปลาแซลมอนหรือปลาทูน่า ซึ่งปลาทั้งสองชนิดนี้เป็นปลาทะเลน้ำลึกที่จับได้ตามธรรมชาติจึงทำให้มีพยาธิน้อย ถ้าเป็นปลาน้ำจืดหรือปลาทะเลที่เพาะขายควรหลีกเลี่ยงการรับประทานแบบดิบ ๆ นะครับ เพราะปลาพวกนี้อาจมีพยาธิที่เป็นอันตรายต่อร่างกายโดยเฉพาะพยาธิตัวกลม ถึงเมนูอาหารคลีน (Clean Food) จะไม่เน้นกระบวนการปรุงมากนักแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเมนูอาหารคลีน (Clean Food) จะเป็นเมนูเนื้อดิบๆ นะครับ เมนูอาหารคลีนต้องเป็นอาหารที่สุก, สะอาด, ปลอดภัย และมีคุณค่าทางอาหารนะครับ

 Clean Food

สารอาหารที่ได้จาก ปลาดิบ

1. ไขมันโดยเฉพาะกรดไขมัน (Omega 3)
โดยปกติแล้วคำว่าอาหารสด หรืออาหารดิบ เราจะนึกถึงด้วยพืชผักและผลไม้ ไขมันและกรดไขมันจากเนื้อปลาทะเลจะเป็นไขมันที่มีประโยชน์กับร่างกายของเรา โดยเฉพาะกรดไขมัน Omega3 ซึ่งมีส่วนอย่างมากในการพัฒนาระบบประสาทและสมอง โดยเฉพาะประโยชน์ในการเสริมสร้างพัฒนาการของเด็กหรือทารกในครรภ์มารดา

2. โปรตีน
โปรตีนที่เราได้รับจากเนื้อปลาจะเป็นโปรตีนที่ย่อยง่าย ร่างกายสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ทันทีต่างกับเนื้อสัตว์ชนิดอื่นๆ ที่เรารับประทานกัน

3. คาร์โบไฮเดรต
คาร์โบไฮเดรตจากเนื้อปลา เราจะได้รับสารอาหารจำพวกนี้ไม่มากนัก แต่เราก็จะได้รับคาร์โบไฮเดรตที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย

4. เกลือ (Sodium)
เนื่องจากเนื้อปลาที่เรานำมาใช้ในการทำปลาดิบมาจากปลาทะเลน้ำลึก ซึ่งปลาเหล่านี้จะมี Sodium หรือเกลือผสมอยู่ในเนื้อปลาอยู่แล้ว ทำให้การรับประทานซาชิมิจะทำให้เราได้รับเกลือจากทะเลซึ่งเป็นเกลือที่สะอาดและบริสุทธิ์ โดยร่างกายของเราควรได้รับโซเดียมไม่เกินวันละ 2,300 มิลลิกรัม (ยกเว้นผู้สูงอายุผู้ป่วยความดันโลหิตสูง เบาหวาน หรือโรคไตเรื้อรัง ซึ่งจำกัดไว้ไม่เกิน 1,500 มิลลิกรัม) แต่ในทางตรงกันข้ามในการใช้เครื่องปรุงหรือซอสในอาหารญี่ปุ่นเช่นโชยุอาจทำให้ร่างกายเราได้รับโซเดียมหรือเกลือมากเกินไปก็เป็นได้

จบไปแล้วนะครับสำหรับสารอาหารที่ได้รับจากปลาดิบ หรือซาชิมิ (ซาชิมิ) โดยทั่วไปการรับประทานปลาดิบก็เหมือนกับเรารับประทานปลาทะเลทั่วไป คือเราจะได้รับโปรตีนจากเนื้อปลาเป็นหลัก นอกจากนี้เราจะได้รับกรดไขมันที่มีประโยชน์ต่อร่างกายของเรามากเช่นกรดไขมัน (Omega 3) และโซเดียมหรือเกลือที่สะอาดบริสุทธิ์การรับประทานปลาดิบหรือซาชิมิควรเลือกเนื้อปลาที่นำมาทำปลาดิบหรือซาชิมิโดยเฉพาะนะครับ เพื่อไม่ให้ร่างกายเราได้รับอันตรายจากปลาดิบหรืออาหารทะเลดิบต่าง ๆ แต่การนำเนื้อปลาไปนึ่งหรือลวกตามแบบเมนู อาหารคลีน (Clean Food) ก็ได้ประโยชน์จากเนื้อปลาเช่นเดียวกันนะครับ

วันเสาร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2558

Dcleanfood.com : รู้จักปลาดิบ (ซาชิมิ) ของอร่อยสัญชาติญี่ปุ่น

ยุคปัจจุบันกระแสความนิยมรับประทานอาหารญี่ปุ่นแพร่หลายเข้ามาและได้รับความนิยมอย่างมากในประเทศไทย และวัฒนธรรมที่ได้รับความนิยมไม่แพ้อาหารญี่ปุ่นชนิดอื่นคือ วัฒนธรรมการรับประทานปลาดิบ หรือซาซิมิ ไม่ว่าจะเป็นเนื้อปลาแซลมอน, ปลาทูน่า, ปลามากูโระ และปลาดิบชนิดอื่น ๆ ปลาดิบหรือซาซิมิตรงตามหลักการอาหารคลีน (Clean Food) มากนะครับ เพราะเป็นการนำเนื้อปลามาแร่และรับประทานสด ๆ โดยไม่ผ่านการปรุงใดๆ แต่วัฒนธรรมการรับประทานปลาดิบนี้มีเป็นมาอย่างไรเราจะมาเรียนรู้กันในวันนี้ครับ

 Clean Food

ซาชิมิ (刺身 sashimi) คืออะไร
ซาชิมิ หมายถึง การนำเนื้อสัตว์ดิบ ๆ โดยเฉพาะเนื้อปลาทะเลมาหั่นหรือแล่สดๆ แล้วนำมารับประทานควบคู่กับเครื่องปรุงรสหรือซอสปรุงรสของญี่ปุ่นอย่าง โซยุ และ ทสึมะ (เครื่องเคียงต่าง ๆ ของประเทศญี่ปุ่น) เช่น วาซาบิ ขิงดอง หัวไชเท้าขูดเส้น และ ใบชิโสะ ปัจจุบันซาชิมิมีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการหลักๆอยู่ 2 ชื่อด้วยกันซึ่งเรียกแตกต่างกันไปตามแต่ละท้องถิ่นของญี่ปุ่น คือ “โอะซาชิมิ” ซึ่งเป็นชื่อเรียกของอาหารชนิดนี้ในแถบภูมิภาคคันโต และ “โอะทสึคุริ” ซึ่งเป็นชื่อเรียกของอาหารประเภทนี้ในแถบภูมิภาคคันไซขอบประเทศญี่ปุ่น

สำหรับซาชิมิจัดเป็นอาหารที่ถูกพัฒนามาจากอาหารญี่ปุ่นที่ชื่อว่า “นามะสึ” หมายถึงการนำปลาดิบมาสับให้ละเอียด รับประทานคู่กับน้ำส้มสายชูที่ผสมวาซาบิ และน้ำส้มสายชูผสมขิง แต่ซาชิมิได้เริ่มต้นเป็นที่รู้จักตั้งแต่สมัยคามาคุระ (ปี ค.ศ.1185–1333) ซึ่งตอนนั้นเป็นเพียงอาหารในกลุ่มชาวประมงที่นำปลามาแล่เป็นชิ้นบางๆ แล้วรับประทานกันสดๆ ต่อมาเมื่อเข้าสู่สมัยมุโรมาจิ (ปีค.ศ. 1336 – 1573) โชยุก็ได้ถือกำเนิดขึ้นและใช้รับประทานคู่กับซาชิมิ แต่โชยุในสมัยก่อนถือเป็นของทีมีราคาสูง จึงทำให้ในช่วงนั้นเมนูซาชิมิจึงเป็นอาหารชั้นสูงสำหรับผู้ที่มีฐานะเท่านั้นแต่เมื่อเข้าสู่สมัยปลายเอโดะ (ปีค.ศ. 1603 – 1867) โชยุได้แพร่หลายไปสู่ชนชั้นชาวเมือง ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ซาชิมิเป็นที่นิยมรับประทานกันโดยทั่วไป จนทำให้เริ่มมีการเปิดร้านขายซาชิมิ หรือ เรียกตามภาษาญี่ปุ่นว่า “ซาชิมิยะ” มาจนถึงทุกวันนี้

การรับประทานปลาดิบ (ซาชิมิ) เริ่มได้รับความนิยมในประเทศไทยเมื่อประมาณ 20 ปีก่อนหน้านี้ โดยเข้ามาพร้อมกับอาหารญี่ปุ่นประเภทอื่น ๆ ทั้งในรูปแบบของร้านอาหารญี่ปุ่นโดยเฉพาะ หรือในรูปแบบของร้านอาหารบุฟเฟ่ต์อาหารญี่ปุ่น ซึ่งในปัจจุบันราคาอาหารญี่ปุ่นในประเทศไทยก็มีราคาถูกลงมากเนื่องจากความสะดวกในการนำเข้าวัตถุดิบ อาหารญี่ปุ่นเป็นอาหารที่มีรสชาติดีและทำรับประทานได้ไม่ยากจึงเหมาะกับวัฒนธรรมการรับประทานอาหารของคนไทย ถึงเมนูซาซิมิจะเป็นอาหารสดที่ไม่ผ่านการปรุงรสใด ๆ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าซาชิมิทุกเมนูจะเป็นอาหารคลีน(Clean Food) นะครับ พรุ่งนี้เราจะมาพูดถึงประโยชน์หรือโทษของปลาดิบหรือซาชิมิกันครับ

วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2558

Dcleanfood.com : รู้หรือไม่ ซุปก้อน - ซุปผง ทำจากอะไร

ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปที่ช่วยให้การทำอาหารของเราง่ายขึ้น เช่นซอสผัด ซอสปรุงรสประเภทต่าง ส่วนอาหารประเภทแกงจืดหรือต้มจืด ก็มีซุปผงหรือซุปก้อนที่วางจำหน่ายกันทั่วไปไม่ว่าจะเป็นห้างสรรพสินค้าหรือร้านสะดวกซื้อ ซุปผงหรือซุปก้อนที่มีวางจำหน่ายกันอยู่ในท้องตลาดมีทั้ง รสไก่, รสหมู, รสผัก และรสเนื้อเป็นต้น ซุปก้อนหรือซุปผงแต่ละยี่ห้อจะบอกปริมาณการใช้ต่อการปรุงอาหาร 1 เมนูเอาไว้เช่นซุปก้อนก็จะใช้ปริมาณ 1-2 ก้อนต่อน้ำ 1 ลิตร หรือซุปผงจะใช้ประมาณ 15 กรัมต่อน้ำ 1 ลิตร ซึ่งในเมนูอาหารเพื่อสุขภาพหรือ อาหารคลีน (Clean Food) จะไม่มีการนำซุปก้อนหรือซุปผงมาใช้ในการประกอบอาหารเลย เพราะในซุปผงหรือซุปก้อนมีส่วนผสมบางอย่างที่เมื่อรับประทานไปมาก ๆ แล้วจะมีผลเสียต่อร่างกาย ต่อไปเรามาดูส่วนประกอบของซุปผงหรือซุปก้อนกันครับ


ส่วนผสมของซุปก้อนและซุปผง
1. ผงชูรส
เป็นส่วนประกอบสำคัญที่มีปริมาณแตกต่างกันมากน้อยแล้วแต่ยี่ห้อหรือตามรสชาติของซุปก้อนหรือซุปผง โดยซุปผงหรือซุปก้อนบางยี่ห้ออาจจะมีปริมาณผงชูรสผสมอยู่มากถึง 32 % ซึ่งถือเป็นส่วนผสมที่จำนวนมากที่สุดของซุปก้อนหรือซุปผง ซุปก้อนหรือซุปผงส่วนใหญ่มีอยู่ในปริมาณร้อยละ 10-20 แต่ในบางยี่ห้อที่ทำการส่งไปขายตต่างประเทศจะมีปริมาณผงชูรสเพียงไม่เกิน 6 % เท่านั้น ผู้บริโภคควรอ่านฉลากที่ระบุปริมาณผงชูรสเป็นกรัมต่อซุป 1 ก้อนหรือซุปผงหนึ่งซอง ซึ่งเมื่อดูตัวเลขส่วนผสมที่ระบุไว้จะมีประมาณน้อยมาก แต่เมื่อคำนวณตามน้ำหนักของซุปก้อนหรือซุปผงก็จะพบว่ามีผงชูรสผสมอยู่ในปริมาณร้อยละ 15-20 และเมื่อนำซุปก้อนหรือซุปผงมาผสมน้ำเพื่อปรุงเป็นอาหารในอาหารจะมีปริมาณผงชูรส ประมาณ 0.2% ของอาหาร

2. เกลือ
เกลือเป็นส่วนผสมที่มีปริมาณมากเป็นอันดับต้น ๆ ในซุปก้อนหรือซุปผง โดยในซุปก้อนหรือซุปผงจะมีปริมาณเกลืออยู่สูงถึงร้อยละ 25-40 % ซึ่งเมื่อเราพิจารณาจากปริมาณการใช้ที่ผู้ผลิตซุปก้อนหรือซุปผงแนะนำไว้ในฉลาก จะพบว่าในน้ำซุปที่ได้จากการใช้ซุปผงหรือซุปก้อนจะมีเกลือผสมอยู่ไม่เกินร้อยละ 0.4% ในอาหาร และเราปรุงซุปชนิดเข้มข้นโดยใช้ซุปก้อนหรือซุปผงก็จะมีก็จะมีประมาณเกลือผสมอยู่ประมาณร้อยละ 0.8 % ทำให้เราไม่จำเป็นต้องทำการเติมเกลือเพิ่มเติมลงไปเพื่อปรุงรสเลย เกลือแท้ถ้ารับประทานในปริมาณที่เหมาะสมจะเป็นส่วนผสมในอาหารที่ไม่ก่ออันตรายใด ๆ กับร่างกายผู้รับประทานเลย แต่ถ้าผู้รับประทานมากเกินไปอาจจะเป็นสาเหตุของโรคความดันโลหิตสูง หรือโรคไตได้

ผ่านไปแล้วส่วนผสมสำคัญทั้ง 2 ชนิดของซุปก้อนหรือซุปผง โดยในปัจจุบันในการปรุงอาหารแต่ละเมนูจะมีการนำเอาซุปผงหรือซุปก้อนมาประกอบอาหารมากขึ้น เนื่องจากเหตุผลในเรื่องของความสะดวกสบายในการปรุงอาหาร และรสชาติที่กลมกล่อมไม่ต้องปรุงมาก แต่การปรุงน้ำซุปตามหลักของอาหารคลีน (Clean Food)โดยใช้สมุนไพรหรือวัตถุดิบจากธรรมชาติมาปรุงน้ำซุปก็จะมีประโยชน์กับร่างกายเรามากกว่าครับ

วันพุธที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2558

Dcleanfood.com : ชาเขียวพร้อมดื่ม อันตรายที่หลายคนมองข้าม ?

เมื่อวานเราทำความรู้จักกับชาเขียวและประโยชน์จากชาเขียว การรับประทานหรือดื่มชาเขียว (Green Tea) ได้รับความนิยมอย่างมากในประเทศญี่ปุ่น และชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่นิยมรับประทานชาเขียวร้อน เนื่องจากประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศที่สภาพภูมิอากาศมีความหนาวเย็นการรับประทานอาหารร้อนหรือดื่มเครื่องดื่มร้อน ๆ นอกจากร่างกายจะได้รับคุณค่าและสารอาหารจากเครื่องดื่มหรืออาหารที่รับประทานเข้าไปแล้ว ร่างกายยังได้รับความอบอุ่นทำให้อุณหภูมิในร่างกายของชาวญี่ปุ่นอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม ซึ่งการรับประทานชาร้อนจะเหมาะกับเมนูอาหารคลีน (Clean Food)มากที่สุดครับ แต่ไม่ได้หมายความว่าชาเขียวแช่เย็นจะก่อให้เกิดโทษแก่ร่างกายของเราตามที่เคยมี Forward Email ก่อนหน้านี้นะครับ เพราะในประเทศญี่ปุ่นก็มีชาเขียว พร้อมดื่มที่สามารถแช่เย็นได้ ขายอยู่มากมายหลายยี่ห้อไม่แพ้ในประเทศไทย แต่โทษหรืออันตรายจากชาเชียวพร้อมดื่มมาจากสารอื่นๆ ที่ผสมเขาไปต่างหาก ไม่ได้มาจากใบหรือน้ำของชาเขียว ซึ่งวันนี้เราจะมาพูดถึงอันตรายที่มากับชาเขียวพร้อมดื่มที่ใส่สารต่าง ๆ ที่ให้โทษแก่ร่างกายของเรากันครับ

 Clean Food

อันตรายที่มากับชาเขียวพร้อมดื่มที่ขายกันในประเทศไทย

1. อันตรายจากน้ำตาล
โดยปกติร่างกายของคนจะสามารถเผาผลาญน้ำตาลได้ไม่เกิน 6 ช้อนชาต่อวัน และมีผลการวิจัยทางการแพทย์ระบุว่าบุคคลทั่วไปยกเว้นเด็กและสตรีมีครรภ์ ไม่ควรรับประทานน้ำตาลมากกว่า 10 ช้อนชา ซึ่งโดยเฉลี่ย 1 ขวดน้ำอัดลมจะมีปริมาณน้ำตาลเฉลี่ยอยู่ที่ 13.75 ช้อนชา มากเกือบเป็น 2 เท่าที่ร่างกายของเราจะสามารถเผาผลาญได้ แต่ในน้ำชาเขียวที่มีการผสมน้ำตาลเข้าไปจะมีปริมาณน้ำตาลโดยเฉลี่ยมากกว่า 10 ช้อนชา โดยเฉพาะในน้ำชาเขียวรสน้ำผึ้งจะมีปริมาณน้ำตาลมากกว่า 16 ช้อนชาต่อ 1 ขวด ซึ่งเกินจากปริมาณที่ร่างกายของเราสามารถเผาผลาญได้ไปมากทีเดียว ซึ่งหากเราดื่มชาเขียวเข้าไปปริมาณ 500 กรัมเราจะได้รับน้ำตาลเข้าสู่ร่างกายมากกว่า 6 ช้อนชา ทำให้ในทางทฤษฏีแล้วร่างกายของเรา ไม่สามารถรับน้ำตาลได้อีกแล้ว ดังนั้นอันตรายร้ายแรงของชาเขียวพร้อมดื่มจึงมาจากการผสมน้ำตาลเข้าไปในปริมาณมาก เพื่อให้ชาเขียวมีรสชาติดีและน้ำตาลยังทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่น ๆ แต่หากเรารับประทานชาเขียว 1 ขวดหรือมากกว่านั้นติดต่อกันทุกวัน ร่างกายของเราก็จะได้รับน้ำตาลมากเกินความต้องการของร่างกาย เมื่อร่างกายของเราไม่สามารถเผาผลาญน้ำตาลออกไปได้หมดน้ำตาลจะสะสมในร่างกายทำให้เกิดภาวะของโรคอ้วน ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนต่าง ๆ มากมายเช่นโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูงและโรคหลอดเลือดหัวใจ

2. อันตรายที่มาจากคาเฟอีน
คาเฟอีนเป็นสารที่มีฤทธิ์ในการในการตุ้นระบบประสาทและสมองให้มีการตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา และมีส่วนช่วยให้สึกอารมณ์ดีมีความสุข แต่การรับเอาคาเฟอีนเข้าสู่รางกายในปริมาณมากจนเกินไปก็ไม่เป็นผลดี ซึ่งโดยปกติร่างกายของคนเราสามารถรับสารคาเฟอีนเข้าสู่ร่างกายได้ไม่เกิน 200 มิลลิกรัมต่อวัน แต่โดยเฉลี่ยแล้วในน้ำชาเขียวพร้อมดื่ม จะมีปริมาณคาเฟอีนเฉลี่ยอยู่ที่ 80-100 มิลลิกรัมต่อ 1 ขวด ซึ่งถือว่าน้อยกว่ากาแฟหรือเครื่องดื่มบำรุงกำลังเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งในความเป็นจริงแล้วข้างกล่องชาเขียวควรมีคำเตือนว่าห้ามดื่มเกินวันละ 2 ขวดไว้ด้วยเช่นเดียวกัน ส่วนโทษหรืออันตรายจากคาเฟอีนหากร่างกายเราได้รับในปริมาณที่สูงเกินกว่าที่กำหนดไว้คือ 200 มิลลิกรัม จะทำให้ใจสั่น เนื่องจากหัวใจเต้นเร็วผิดปกติ, ก่อให้เกิดอาการของโรคความดันโลหิตสูง, รับประทานมากจนเกินไปอาจจะเกิดอาการหัวใจวายเฉียบพลันได้ และการับคาเฟอีนเข้าสู่ร่างกายมากเกินไปจะทำให้ปริมาณกรดในกระเพาะอาหารเพิ่มขึ้นมากกว่าปกติ ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหาร

ทราบถึงอันตรายที่มากับชาเขียวพร้อมดื่มกันไปแล้วนะครับ ซึ่งชาเขียวพร้อมดื่มนี้ก็เหมือนกับอาหารสำเร็จรูปโดยทั่วไป ซึ่งผู้บริโภคต้องอ่านสลากกำกับและทำความเข้าใจถึงประโยชน์และโทษที่จะได้รับจากอาหารสำเร็จรูปชนิดนั้น ๆ อย่างชัดเจน โดยทั่วไปอันตรายสำหรับมนุษย์ไม่ได้มาจากธรรมชาตินะครับ แต่มาจากสารเคมีที่เราทำการผสมเข้าไปมากกว่า ซึ่งการรับประทานชาเขียวให้ได้ประโยชน์ก็คือการรับประทานชาเขียวที่ไม่ผสมน้ำตาล และรับประทานให้พอเหมาะกับ ความต้องการของร่างกายนะครับ แต่ก็อย่างที่ผมเคยกล่าวไว้ในตอนที่แล้วว่าการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพเช่น อาหารชีวจิต หรืออาหารคลีน (Clean Food) ให้ครบ 5 หมู่และดื่มน้ำที่สะอาดบริสุทธิ์แค่นี้ร่างกายของเราก็ได้รับสารอาหารที่เพียงพอแล้วครับ

วันอังคารที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2558

Dcleanfood.com : ชาเขียวคืออะไร และมีประโยชน์อย่างไร ?

ปัจจุบันเครื่องดื่มชาเขียวที่มีต้นกำเนิดจากประเทศญี่ปุ่น ได้เข้ามามีบทบาทและได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในประเทศไทย โดยในประเทศไทยมีจำนวนการบริโภคเครื่องดื่มชาเขียวในปริมาณที่สูงมากอย่างน่าตกใจในทุก ๆ ปี เนื่องจากมีชาเขียวสำเร็จรูปวางขายอยู่ในร้านสะดวกซื้อมากมายหลายยี่ห้อและสามารถหาซื้อรับประทานกันได้ตลอด 24 ชั่วโมง โดยมีบางคนตั้งข้อสังเกตุว่าชาเขียวในประเทศไทยหารับประทานได้ง่ายกว่าน้ำเปล่า ในเมนูอาหารคลีน (Clean Food) เราจะไม่เน้นที่ตัวเครื่องดื่มนะครับ แต่ส่วนใหญ่ก็แนะนำให้ดื่มน้ำที่สะอาดในระหว่างวันและระหว่างการรับประทานอาหารในแต่ละมื้อ ต่อจากนี้เรามาดูประโยชน์ของชาเขียวกันบ้างนะครับ

 Clean Food

ชาเขียว (Green Tea) มีจุดกำเนิดมาจากประเทศญี่ปุ่น ชาเขียวเป็นเครื่องดื่มที่มีรสชาติดี มีสรรพคุณในการดับกระหายทำให้ร่างกายสดชื่น ชาเขียวบางยี่ห้ออาจจะโฆษณาว่ามีสรรพคุณในการช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะโรคอ้วน ช่วยลดระดับไขมันในเลือด และมีสารต้านอนุมูลอิสระช่วยป้องกันโรคมะเร็งชนิดต่าง ๆ ได้ซึ่งในตอนนี้เราจะมาเรียนรู้ถึงสารอาหารต่าง ๆ ที่มีอยู่ในชาเขียวว่ามีสารใดกันบ้าง

กระบวนการผลิตน้ำชาเขียว ทำได้โดยการนำใบชาเขียวสด ๆ มาผ่านกระบวนการที่มีความร้อนสูงทำให้ใบของชาเขียวแห้งอย่างรวดเร็ว และใบชาเขียวเมื่อผ่านกระบวนการความร้อนจะทำให้เอนไซม์ต่าง ๆ ในใบชาเขียวไม่สูญสลายหรือถูกทำลายลงไป ทำให้ใบชาเขียวแห้งที่ได้จากการผ่านกระบวนการให้ความร้อนจะยังดูสดและมีสีของใบที่ยังค่อนข้างเขียวจึงเป็นสาเหตุให้คนเรียกใบชาชนิดนี้ว่าชาเขียว (Green Tea) โดยสารสำคัญที่มีประโยชน์ที่พบมากในชาเขียวได้แก่ วิตามิน อันประกอบไปด้วย วิตามิน B, C และวิตามิน E ,กรดอะมิโน และสารจำพวก คาเฟอีนและธีโอฟิลลีน ซึ่งเป็นสารที่มีฤทธิ์ในการกระตุ้นการทำงานของระบบประสาทส่วนกลาง เป็นผลให้ร่างกายมีความรู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่าอยู่ตลอดเวลา และนอกจากนี้ยังมีสารกลุ่ม ฟลาโวนอยด์ ได้แก่สาร แคททีชิน ซึ่งสารจำพวกนี้มีประโยชน์ในการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ

นอกจากนี้ผลการวิจัยทางด้านเภสัชวิทยายังระบุว่าชาเขียวมีคุณประโยชน์ โดยสารแคททีชินในชาเขียวจะมีฤทธิ์ในการช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญพลังงานและไขมันในร่างกายของเรา ซึ่งจะเห็นว่ามีบางท่านใช้ประโยชน์จากชาเขียวเพื่อเป็นเครื่องดื่มในการช่วยลดน้ำหนัก นอกจากนี้ประโยชน์สำคัญของชาเขียวอีกประการหนึ่งคือ การมีส่วนช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและมีส่วนช่วยในการลดระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคหัวใจ และโรคหลอดเลือดต่าง ๆ และที่สำคัญที่สุดสารต้านอนุมูลอิสระในชาเขียวยังถูกกล่าวอ้างว่ามีผลช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็งชนิดต่าง ๆ ได้

อ่านมาถึงตอนนี้หลายท่านคงทราบถึงประโยชน์อันมากมายของชาเขียวกันไปแล้วนะครับ แต่ใช่ว่าการรับประทานชาเขียวจะก่อให้เกิดประโยชน์เพียงอย่างเดียว แต่การรับประทานชาเขียวอย่างไม่ถูกต้องอาจจะก่อให้เกิดอันตรายใหญ่หลวงต่อร่างกายของเราได้ ซึ่งเราจะมาขยายความเรื่องนี้กันในวันพรุ่งนี้นะครับ ส่วนผมก็ยังยืนยันว่าสารอาหารจากอาหารเพื่อสุขภาพ เช่นอาหารชีวจิต หรืออาหารคลีน (Clean Food) และการดื่มน้ำบริสุทธิ์ก็มีประโยชน์เพียงพอต่อความต้องการ ของร่างกายเราแล้วครับ

วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2558

Dcleanfood.com : ลดความเสี่ยงในการเป็นโรคกลุ่ม NCDs ด้วยนมแม่

2 ตอนที่ผ่านมาเราทราบถึงความน่ากลัวของกลุ่มโรค NCDs ซึ่งรวมเอาโรคไม่ติดต่อที่มีอาการเรื้อรังที่มีความอันตรายร้ายแรงมาก ๆ เอาไว้เช่น โรคหัวใจ, โรคความดันโลหิตสูง, โรคเบาหวานและโรคอื่นๆ ซึ่งแต่ละโรคในกลุ่ม NCDs นี้ต่างเป็นสาเหตุหลักในการเสียชีวิตของคนไทยในแต่ละปี โรคกลุ่ม NCDs นี้้เป็นโรคที่ทำให้คนไทยเสียชีวิตก่อนวัยอันควรเป็นจำนวนมาก ซึ่งในปัจจุบันผู้ป่วยและเสียชีวิตด้วยโรคกลุ่ม NCDs มีอัตราสูงขึ้นทุกปีอย่างน่าตกใจ โรคกลุ่ม NCDs นี้สาเหตุหลักน่าจะเกิดจากสภาพสังคมและสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนไป คนในยุคปัจจุบันใช้ชีวิตด้วยความเร่งรีบมากขึ้น บางอาชีพไม่สามารถรับประทานอาหารได้ตรงเวลา และบางท่านไม่มีการพักผ่อนหรือออกกำลังให้พอดีกับความต้องการของร่างกาย ก็มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคกลุ่ม NCDs โดยคน ๆหนึ่งสามารถเป็นโรคในกลุ่ม NCDs ได้มากกว่า 1 โรคในเวลาเดียวกัน ซึ่งเท่ากับมีความเสี่ยงและความอันตรายเป็นทวีคูณการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบทั้ง 5 หมู่ ไม่ว่าจะเป็นอาหารชีวจิต อาหารคลีน (Clean Food) ก็มีส่วนช่วยได้เป็นอย่างมาก แต่มีอาหารชนิดหนึ่งคือนมแม่ที่เมื่อรับประทานตั้งแต่เป็นทารกแล้วจะสามารถลดความเสี่ยงในการเป็นโรคกลุ่ม NCDs ได้มากเลยทีเดียวครับ

 Clean Food

มีรายงานและผลการวิจัยจากกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุขระบุว่า เราสามารถป้องกันหรือลดความเสี่ยงในการเป็นโรคกลุ่ม NCDs ได้โดยการเริ่มต้นที่การให้ทารกตั้งแต่แรกเกิดรับประทานนมแม่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งนมแม่มีสารอาหารที่มีประโยชน์มากที่สุดต่อตัวทารก โดยในน้ำนมแม่ประกอบด้วยโปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุต่าง ๆมากมาย โดยให้คุณแม่ให้นมลูกเพียงอย่างเดียวตั้งแต่แรกเกิดไปจนทารกมีอายุได้ประมาณ 6 เดือน หลังจากนั้นให้คุณแม่ให้นมลูกร่วมกับอาหารเสริมตามแต่ละช่วงอายุของลูกไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งลูกมีอายุ 2 ขวบเป็นอย่างน้อย แต่ทางที่ดีควรให้ลูกได้รับประทานนมแม่ไปจนมีอายุ 3 ขวบ ลูกจะได้รับประโยชน์จากนมแม่อย่างสูงสุดครับ

ประโยชน์ของน้ำนมแม่ต่อกลุ่มโรค NCDs
การให้ลูกได้รับประทานนมแม่ไปจนมีอายุอย่างน้อย 2 ขวบนั้น สามารถช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคกลุ่ม NCDs ในเด็ก โดยเด็กที่ได้รับประทานนมแม่จะสามารถลดความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะน้ำหนักเกินหรือโรคอ้วนในเด็กได้มากที่สุดถึง 17% และการรับประทานนมแม่ยังมีส่วนช่วยลดไขม้นที่ไม่ดีชนิด LDL ได้เป็นอย่างดี เมื่อทารกไม่ได้รับไขมันชนิด LDL ซึ่งเป็นไขมันที่ก่อให้เกิดโทษกับตัวทารกเอง ซึ่งอาจจะทำให้เด็กเป็นโรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวานหรือโรคอื่น ๆ ในกลุ่ม NCDs ได้

นอกจากประโยชน์ที่ทารกจะได้รับจากน้ำนมแม่แล้ว คุณแม่ที่ให้น้ำนมลูกก็มีส่วนช่วยในการลดความเสี่ยงในการเกิดโรคกลุ่ม NCDs ได้เช่นเดียวกันครับ เพราะการให้นมของคุณแม่นั้นเป็นการลดน้ำหนักหลังคลอดได้อย่างมีประสิทธิภาพวิธีการหนึ่ง เมื่อคุณแม่ไม่มีภาวะเสี่ยงในการเป็นโรคอ้วนแล้ว คุณแม่ผู้ให้นมลูกจะสามารถลดความเสี่ยงที่จะเป็นโรคความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคเบาหวาน และโรคมะเร็งที่เกิดเฉพาะกับเพศหญิง เช่นโรคมะเร็งเต้านมและโรคมะเร็งรังไข่เป็นต้น

มีผลการวิจัยทางการแพทย์ระบุว่า เด็กที่รับประทานนมผงแทนนมแม่นั้น จะมีความเสี่ยงสูงที่จะมีอาการแพ้โปรตีนหรือสารอาหารในนมผง ทำให้เกิดอาการท้องอืด ตัวเหลือง หรือท้องเสียอย่างรุนแรง และอาจจะทำให้เด็กเกิดอาการหยุดหัวใจชั่วคราว ทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองทารกไม่เพียงพอซึ่งอาจเกิดภาวะออทิสซึม จนอาจนำไปสู่การเป็นผู้ป่วยออทิสติกของทารกได้ โดยเฉพาะในนมผงมีการเติมสารสังเคราะห์ที่คิดว่ามีประโยชน์เข้าไปเช่น สาร DHA สังเคราะห์ซึ่งเป็นกรดไขมันประเภทไม่อิ่มตัวในกลุ่ม กรดไขมัน Omega 3 ซึ่งสาร DHA ที่เป็นสารสังเคราะห์นี้อาจทำให้ทารกหรือเด็กที่รับประทานนมผงมีอาการแพ้อย่างรุนแรงก็เป็นได้ครับ

จบแล้วนะครับสำหรับบทความเกี่ยวกับกลุ่มโรค NCDs กลุ่มโรคเรื้อรังเหล่านี้มีความอันตรายมากนะครับ เพราะรักษาให้หายขาดได้ยากหรือบางโรคไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้เลย ได้แต่ประคองอาการให้ทรงตัวไม่ให้อาการแย่ลงกว่าเดิม ท่านผู้อ่านที่เป็นหรือกำลังจะเป็นคุณพ่อหรือคุณแม่คนใหม่ ได้อ่านบทความนี้แล้วคงจะเข้าใจถึงความสำคัญและประโยชน์ของนมแม่ที่มีต่อทารกได้เป็นอย่างดีนะครับ และหวังว่าคุณพ่อและคุณแม่ของลูกวัยทารกทุกท่านจะหันมาให้ลูกได้รับประทานนมแม่ แทนการรับประทานนมผงกันมากขึ้นนะครับ เพราะสำหรับเด็กในวัยทารกไม่มีอาหารใดๆ จะมีประโยชน์กับพวกเขามากไปกว่านมแม่อีกแล้วครับ อาหารชีวจิต หรือ อาหารคลีน (Clean Food) เมนูใดก็ไม่สามารถทัดเทียมน้ำนมจากอกแม่ได้ครับ สุดท้ายขอให้ทุกท่านมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง และห่างไกลจากโรคกลุ่ม NCDs กันทุกคนนะครับ ขอบคุณครับ

วันอาทิตย์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2558

รู้จักกลุ่มโรค NCDs อันตรายที่เกิดจากตัวเราเอง

วันนี้เราจะมากล่าวถึงโรคที่เกิดจากตัวเราเองหรือเกิดจากสภาพแวดล้อมและสังคมที่เปลี่ยนไป ทำให้คนในยุคปัจจุบันพักผ่อนหรือทานอาหารไม่ตรงเวลา อาหารที่รับประทานเข้าไปก็เป็นอาหารที่มีดีแค่รสชาติที่ถูกปาก แต่เต็มไปด้วยสารต่าง ๆ ที่มีโทษต่อร่างกาย และยังไม่รวมถึงการขาดการพักผ่อนและการออกกำลังกายตามระยะเวลาที่เหมาะสม ถึงแม้เราจะรับประทานเพื่อสุขภาพ อาหารมังสวิรัติ หรือ อาหารคลีน (Clean Food) ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายเป็นอย่างมาก แต่เราไม่รับประทานอาหารให้ตรงเวลา หรือไม่พักผ่อนหรือออกกำลังกายให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย เราก็เสี่ยงที่จะป็นโรคในกลุ่ม NCDs ได้ การใช้ชีวิตด้วยความรีบเร่งและไม่เป็นเวลาทำให้คนในสังคมยุคปัจจุบันเป็นโรคในกลุ่ม NCDs กันมากในบทความก่อนหน้านี้เราเคยกล่าวถึงโรคบางโรคในกลุ่ม NCDs กันไปบ้างแล้ว วันนี้เราจะมาทำความเข้าใจความหมายของคำว่า NCDs


NCDs คืออะไร
NCDs ย่อมาจากคำว่า Non-communicable diseases ในภาษาอังกฤษ ความหมายโดยรวมหมายถึงกลุ่มโรคที่ไม่ใช่โรคติดต่อ โรคในกลุ่ม NCDs เป็นโรคที่ไม่ได้เกิดจากการที่เราได้เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย และเป็นกลุ่มโรคที่ไม่ติดต่อเมื่อมีการสัมผัส คลุกคลี หรือแม้แต่การสัมผัสกับสารคัดหลั่งต่างๆ

กลุ่มโรค NCDs เป็นกลุ่มโรคที่เกิดหรือเกี่ยวข้องกับนิสัยหรือพฤติกรรมการดำเนินชีวิตประจำวันของผู้เป็นโรคนั้น ๆ ซึ่งโรคในกลุ่ม NCDs นี้จะค่อยๆสะสมความรุนแรงอาการ แบบค่อยเป็นค่อยไป ค่อยๆ ทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ และเมื่อสุดท้ายเรามีอาการของโรคนั้น ๆ แล้วจะเกิดการเรื้อรังของโรคตามมาด้วย หากผู้ป่วยไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องเหมาะสมอย่างทันท่วงทีและทันเวลา โรคกลุ่ม NCDs ที่เราเป็นนั้นจะส่งผลกระทบอย่างมากต่อการดำเนินชีวิตของผู้ป่วยและคนรอบข้างที่ต้องคอยเอาใจใส่ดูแลอย่างใกล้ชิด และพบว่าผู้ป่วยที่มีอาการของโรค NCDs ขั้นรุนแรงจำนวนมากจะเสียชีวิตด้วยโรคกลุ่ม NCDs ที่เป็นอยู่

มีข้อมูลที่น่าเชื่อถือจากองค์การอนามัยโลกที่ทำสำรวจในประเทศไทยระบุว่า ตลอดช่วงระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมากลุ่มโรค NCDs เป็นสาเหตุการตายอันดับหนึ่งของคนไทย โดยในปัจจุบันมีการคาดการณ์ว่ามีคนไทยป่วยเป็นโรค NCDs มากกว่า 15 ล้านคน และเสียชีวิตจากโรคกลุ่ม NCDs มากถึงปีละกว่า 300,000 คน และคาดการณ์กันว่ามีแนวโน้ม ผู้ป่วยด้วยโรคกลุ่ม NCDs จะเพิ่มขึ้นในทุก ๆ ปี ซึ่งส่วนใหญ่ผู้ที่ป่วยเป็นโรคในกลุ่มนี้มีแน้วโน้มสูงที่จะเสียชีวิตก่อนอายุ 60 ปี

นอกจากโรคกลุ่ม NCDs จะมีอันตรายร้ายแรงต่อร่างกายของผู้ป่วยแล้วยังส่งผลกระทบต่อสังคมอย่างรุนแรงด้วยเช่นเดียวกัน โดยมีข้อมูลยืนยันว่ากลุ่มโรค NCDs เป็นปัญหาและอุปสรรคที่สำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทยอีกด้วย โดยเฉพาะด้านการพัฒนาคุณภาพของทรัพยากรมนุษย์ เนื่องจากกลุ่มโรค NCDs มีส่วนทำให้ประชากรในประเทศเสียชีวิตก่อนวัยอันควร(ก่อนอายุ 60 ปี) เป็นผลให้เกิดการสูญเสียศักยภาพของบุคคลในการประกอบอาชีพ และผู้ป่วยที่ป่วยด้วยโรคกลุ่ม NCDs จะมีความทุกข์ทรมานจากการเจ็บป่วยและโรคแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นตามมาในภายหลัง โดยนอกจากจะเพิ่มภาระแก่คนรอบข้างแล้ว ยังสร้างภาระแก่สังคมโดยรวม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มูลค่าของค่าใช้จ่ายทางด้านสุขภาพในแต่ละปีที่มีมูลค่ามหาศาล ซึ่งไม่เป็นผลดีกับองค์รวมในการพัฒนาของประเทศ

น่ากลัวและรุนแรงมากใช่ไหมครับสำหรับโรคกลุ่ม NCDs อย่างที่กล่าวไว้นะครับโรคนี้เกิดจากสังคมและสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไปในปัจจุบัน ซึ่งการใช้ชีวิตเป็นไปอย่างเร่งรีบมากขึ้น แต่ที่สำคัญที่สุดคือพฤติกรรมในการบริโภค การพักผ่อนและการออกกำลังกายของตัวเราเอง หากเรามีวินัยในการใช้ชีวิต โรคกลุ่ม NCDs ก็จะไม่ทางทำอันตรายเราได้ครับ อย่าลืมนะครับการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายเช่น อาหารชีวจิตหรืออาหารคลีน (Clean Food) เพียงอย่างเดียวก็ไม่สามารถช่วยได้นะครับ ต้องพักผ่อนและออกกำลังกายให้เพียงพอด้วยนะครับ

วันเสาร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2558

Dcleanfood.com : รู้จักโรคต่าง ๆ ที่อยู่ในกลุ่มโรคเรื้อรังไม่ติดต่อ (NCDs)

วันนี้เราจะมากล่าวถึงโรคที่เกิดจากตัวเราเองหรือเกิดจากสภาพแวดล้อมและสังคมที่เปลี่ยนไป ทำให้คนในยุคปัจจุบันพักผ่อนหรือทานอาหารไม่ตรงเวลา อาหารที่รับประทานเข้าไปก็เป็นอาหารที่มีดีแค่รสชาติที่ถูกปาก แต่เต็มไปด้วยสารต่าง ๆ ที่มีโทษต่อร่างกาย และยังไม่รวมถึงการขาดการพักผ่อนและการออกกำลังกายตามระยะเวลาที่เหมาะสม ถึงแม้เราจะรับประทานเพื่อสุขภาพ อาหารมังสวิรัติ หรือ อาหารคลีน (Clean Food) ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายเป็นอย่างมาก แต่เราไม่รับประทานอาหารให้ตรงเวลา หรือไม่พักผ่อนหรือออกกำลังกายให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย เราก็เสี่ยงที่จะป็นโรคในกลุ่ม NCDs ได้ การใช้ชีวิตด้วยความรีบเร่งและไม่เป็นเวลาทำให้คนในสังคมยุคปัจจุบันเป็นโรคในกลุ่ม NCDs กันมากในบทความก่อนหน้านี้เราเคยกล่าวถึงโรคบางโรคในกลุ่ม NCDs กันไปบ้างแล้ว วันนี้เราจะมาทำความเข้าใจความหมายของคำว่า NCDs

 Clean Food

NCDs คืออะไร
NCDs ย่อมาจากคำว่า Non-communicable diseases ในภาษาอังกฤษ ความหมายโดยรวมหมายถึงกลุ่มโรคที่ไม่ใช่โรคติดต่อ โรคในกลุ่ม NCDs เป็นโรคที่ไม่ได้เกิดจากการที่เราได้เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย และเป็นกลุ่มโรคที่ไม่ติดต่อเมื่อมีการสัมผัส คลุกคลี หรือแม้แต่การสัมผัสกับสารคัดหลั่งต่างๆ

กลุ่มโรค NCDs เป็นกลุ่มโรคที่เกิดหรือเกี่ยวข้องกับนิสัยหรือพฤติกรรมการดำเนินชีวิตประจำวันของผู้เป็นโรคนั้น ๆ ซึ่งโรคในกลุ่ม NCDs นี้จะค่อยๆสะสมความรุนแรงอาการ แบบค่อยเป็นค่อยไป ค่อยๆ ทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ และเมื่อสุดท้ายเรามีอาการของโรคนั้น ๆ แล้วจะเกิดการเรื้อรังของโรคตามมาด้วย หากผู้ป่วยไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องเหมาะสมอย่างทันท่วงทีและทันเวลา โรคกลุ่ม NCDs ที่เราเป็นนั้นจะส่งผลกระทบอย่างมากต่อการดำเนินชีวิตของผู้ป่วยและคนรอบข้างที่ต้องคอยเอาใจใส่ดูแลอย่างใกล้ชิด และพบว่าผู้ป่วยที่มีอาการของโรค NCDs ขั้นรุนแรงจำนวนมากจะเสียชีวิตด้วยโรคกลุ่ม NCDs ที่เป็นอยู่

มีข้อมูลที่น่าเชื่อถือจากองค์การอนามัยโลกที่ทำสำรวจในประเทศไทยระบุว่า ตลอดช่วงระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมากลุ่มโรค NCDs เป็นสาเหตุการตายอันดับหนึ่งของคนไทย โดยในปัจจุบันมีการคาดการณ์ว่ามีคนไทยป่วยเป็นโรค NCDs มากกว่า 15 ล้านคน และเสียชีวิตจากโรคกลุ่ม NCDs มากถึงปีละกว่า 300,000 คน และคาดการณ์กันว่ามีแนวโน้ม ผู้ป่วยด้วยโรคกลุ่ม NCDs จะเพิ่มขึ้นในทุก ๆ ปี ซึ่งส่วนใหญ่ผู้ที่ป่วยเป็นโรคในกลุ่มนี้มีแน้วโน้มสูงที่จะเสียชีวิตก่อนอายุ 60 ปี

นอกจากโรคกลุ่ม NCDs จะมีอันตรายร้ายแรงต่อร่างกายของผู้ป่วยแล้วยังส่งผลกระทบต่อสังคมอย่างรุนแรงด้วยเช่นเดียวกัน โดยมีข้อมูลยืนยันว่ากลุ่มโรค NCDs เป็นปัญหาและอุปสรรคที่สำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทยอีกด้วย โดยเฉพาะด้านการพัฒนาคุณภาพของทรัพยากรมนุษย์ เนื่องจากกลุ่มโรค NCDs มีส่วนทำให้ประชากรในประเทศเสียชีวิตก่อนวัยอันควร(ก่อนอายุ 60 ปี) เป็นผลให้เกิดการสูญเสียศักยภาพของบุคคลในการประกอบอาชีพ และผู้ป่วยที่ป่วยด้วยโรคกลุ่ม NCDs จะมีความทุกข์ทรมานจากการเจ็บป่วยและโรคแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นตามมาในภายหลัง โดยนอกจากจะเพิ่มภาระแก่คนรอบข้างแล้ว ยังสร้างภาระแก่สังคมโดยรวม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มูลค่าของค่าใช้จ่ายทางด้านสุขภาพในแต่ละปีที่มีมูลค่ามหาศาล ซึ่งไม่เป็นผลดีกับองค์รวมในการพัฒนาของประเทศ

น่ากลัวและรุนแรงมากใช่ไหมครับสำหรับโรคกลุ่ม NCDs อย่างที่กล่าวไว้นะครับโรคนี้เกิดจากสังคมและสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไปในปัจจุบัน ซึ่งการใช้ชีวิตเป็นไปอย่างเร่งรีบมากขึ้น แต่ที่สำคัญที่สุดคือพฤติกรรมในการบริโภค การพักผ่อนและการออกกำลังกายของตัวเราเอง หากเรามีวินัยในการใช้ชีวิต โรคกลุ่ม NCDs ก็จะไม่ทางทำอันตรายเราได้ครับ อย่าลืมนะครับการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายเช่น อาหารชีวจิตหรืออาหารคลีน (Clean Food) เพียงอย่างเดียวก็ไม่สามารถช่วยได้นะครับ ต้องพักผ่อนและออกกำลังกายให้เพียงพอด้วยนะครับ

วันพฤหัสบดีที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2558

Dcleanfood.com : วิธีสังเกตอาหารที่ผสมสารบอแรกซ์ (Borax)

เมื่อวานเราทำความรู้จักกับสารบอแรกซ์กันไปแล้วนะครับ ในประเทศไทยมีการใช้สารบอแรกซ์ผสมลงในอาหารกันมาเป็นระยะเวลานานแล้ว ซึ่งในปัจจุบันก็ยังมีพ่อค้าหรือแม่ค้าที่ยังนำสารบอแรกซ์มาผสมลงในอาหาร ซึ่งเป็นอันตรายต่อร่างกายผู้บริโภคมากนะครับ ถ้าหากเราเป็นคนเคร่งครัดในการรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพหรือ อาหารคลีน (Clean Food) บอแรกซ์ก็คงไม่มีความน่ากลัวหรือพิษภัยต่อเรา แต่ความกรอบ เด้ง หนึบน่ารับประทานของอาหารที่ผสมสารบอแรกซ์ ก็อาจจะทำให้เราอดใจไม่ไหว จนต้องรับประทานเข้าไป หรือบางครั้งเราซื้อเนื้อสัตว์และอาหารต่าง ๆ โดยไม่ทราบว่าเนื้อสัตว์หรืออาหารเหล่านั้นมีสารบอแรกซ์ ผสมอยู่หรือไม่ วันนี้เราจะมาพูดถึงวิธีการสังเกตอาหารที่ผสมสารบอแรกซ์ และพิษภัยของสารบอแรกซ์ต่อร่างกายผู้บริโภคกันครับ



วิธีการสังเกตอาหารที่ผสมสารบอแรกซ์
1. ผู้บริโภคทุกท่านควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีความกรอบเด้ง เหนียว หนึบ ผิดธรรมชาติ เช่นลูกชิ้น หรือทอดมัน

2. ควรเลือกซื้อเนื้อหมูที่มีลักษณะตามธรรมชาติ ไม่เลือกซื้อเนื้อหมูที่มีสีสันและความเงางาม จนเกินไป และควรหลีกเลี่ยงเนื้อหมูที่มีความแข็ง เด้งหรือหยุ่นผิดปกติ

3. ผู้บริโภคควรหลีกเลี่ยงหมูบดหรือเนื้อบดสำเร็จรูปที่มีขายตามตลาดหรือห้างสรรพสินค้า ควรซื้อเนื้อหมูจากแหล่งที่เชื่อถือได้แล้วนำมาสับหรือบดรับประทานเองจะดีที่สุด

พิษภัยของสารบอแรกซ์ (Borax)
สารบอแร็กซ์ (Borax)เป็นสารประกอบโบรอนชนิดหนึ่งที่นิยมใช้กันมาก ที่ก่อให้เกิดอันตรายกับตัวผู้บริโภคที่ได้รับสารเหล่านี้อยู่เป็นประจำ พิษภัยและอันตรายของสารบอแรกซ์ มีผลต่อเซลล์เกือบทั้งหมดในร่างกาย เมื่อร่างกายของเราได้รับเข้าไป จะทำให้การทำงานของร่างกายเกิดความผิดปกติ อาการอาจจะรุนแรงมากน้อยขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของสารบอแรกซ์ที่ร่างกายได้รับเข้าสู่ร่างกาย และเกิดการสะสมมากหรือน้อยในอวัยวะต่าง ๆ โดยเฉพาะไต เป็นอวัยวะที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด อาการจะปรากฏให้เห็นภายใน 1 สัปดาห์ ส่วนกระเพาะอาหาร และลำไส้ จะอักเสบ ตับถูกทำลาย สมองบวมช้ำ และมีการคั่งของเลือด อาการทั่วไป มีไข้ ผิวหนังมีลักษณะแตกเป็นแผล บวมแดงคล้ายถูกน้ำร้อนลวก อาจมีปัสสาวะออกน้อย หรือปัสสาวะไม่ออกเลย เนื่องจากความแข็งแรงและประสิทธิภาพในการการทำงานของไตด้อยลงไป จะทำให้เกิดอาการไตวายหรือไตล้มเหลวได้

สารประกอบโบรอนโดยเฉพาะสารบอแรกซ์ (Borax)ที่เข้าสู่ร่างกายโดยการรับประทาน สารบอแรกซ์จะถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้เกือบทั้งหมดจากระบบทางเดินอาหาร ส่วนกลไกทางชีวเคมีในร่างกาย ซึ่งทำให้เกิดอาการพิษนั้น พบว่าสารบอแรกซ์ที่รับประทานเข้าสู่ร่างกายนั้น ยังไปสะสมในสมองส่วนกลาง และเข้าไปลดความหนาแน่นของออกซิเจนและระบบ Oxidation ของสารอะดรีนารีนในร่างกายของเรา โดยสารบอแรกซ์นั้นมีพิษต่อเซลล์ภายในร่างกายของเราเกือบทั้งหมดและมีผลโดยตรงต่ออวัยวะของร่างกายโดยเฉพาะกับไตของเรา โดยสารบอแรกซ์จะถูกขับผ่านไตออกมากับปัสสาวะ ได้เป็นส่วนน้อยเท่านั้น บางส่วนอาจจะขับออกมากับเหงื่อ ส่วนที่ถูกขับออกผ่านทางไตนั้น จะต้องใช้เวลาหลายวันในการขับถ่ายออกจนหมด ถึงแม้ร่างของเราจะได้รับสารบอแรกซ์เข้าสู่ร่างกายไปเพียงครั้งเดียว โดยจะขับสารบอแรกซ์ทิ้งออกทางไตได้มากที่สุดในช่วง 2 ถึง 3 วันแรกเท่านั้น และหลังจากนั้นต้องใช้เวลานานกว่า 7 วันในการขับถ่ายสารบอแรกซ์ออกจากร่างกายทางปัสสาวะจนหมด

จบไปแล้วนะครับสำหรับเรื่องสารบอแรกซ์ ที่ผมนำเรื่องนี้มานำเสนอก็เพราะว่าผมพบว่าปัจจุบันยังมีการนำสารบอแรกซ์มาผสมกับอาหารอยู่อย่างแพร่หลาย และบางครั้งผู้ที่รับประทานเข้าไปก็ไม่ทราบถึงพิษภัยที่จะได้รับเข้าสู่ร่างกาย และที่สำคัญคนส่วนใหญ่ในประเทศยังรับประทานอาหารที่มีขายตามท้องตลาดทั่วไป เนื่องจากหาซื้อได้ง่ายและมีรสชาติดี แต่ก็เสี่ยงที่ร่างกายจะรับสารพิษเข้าสู่ร่างกายได้โดยที่ไม่รู้ตัว ดังนั้นเราควรลองหันมาทำอาหารรับประทานเองโดยเลือกเมนูอาหารเพื่อสุขภาพหรือเมนู อาหารคลีน (Clean Food) มาปรุงรับประทานก็ได้ครับ จะได้สบายใจและไม่ต้องเสี่ยงกับสารพิษที่ผสมมากับอาหารครับ

วันพุธที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2558

Dcleanfood.com : ทานลูกชิ้นกรอบเด้ง หมูบดเหนียวนุ่ม ระวังอันตรายจากสารบอแรกซ์

วันนี้มีโอกาสได้ไปแถวหน้าโรงเรียนแห่งหนึ่ง เห็นลูกชิ้นปิ้งและลูกชิ้นทอดที่ขายอยู่บริเวณหน้าโรงเรียนดูกรอบน่ารับประทานมาก แต่นึกถึงสารเคมีที่มีส่วนทำให้ลูกชิ้นเหล่านี้ดูกรอบเด้ง เหนียว และมีสีสันสวยงามน่ารับประทานแล้ว ก็ตัดใจไม่รับประทานเนื่องจากทราบถึงพิษภัยของสารบอแรกซ์ที่มีต่อร่างกายของเรา แต่คนที่รับประทานอาหารเพื่อสุขภาพหรืออาหารคลีน (Clean Food) อยู่เป็นประจำทุกวัน ไปเจอลูกชิ้นที่ดูน่ารับประทานเหล่านี้บางครั้งก็อาจจะอดใจไม่รับประทานไม่ได้ แต่หากรับประทานเข้าไปแล้วเราจะได้รับพิษภัยเข้าสู่ร่างกายของเรามากกว่าประโยชน์ที่จะได้รับนะครับ วันนี้เรามาทำความรู้จักสารที่ทำให้ลูกชิ้น หรืออาหารอื่น ๆ ดูกรอบ เด้ง เหนียวหนึบ น่ารับประทานอย่างสารบอแรกซ์กันดีกว่าครับ


สารบอแรกซ์คืออะไร
สารบอแรกซ์ (Borax) เป็นสารอนินทรีย์มีชื่อทางเคมีว่า โซเดียม เตตราบอเรต (Sodium tetraborate) โดยทั่วไปเราจะรู้จักกันในชื่อของน้ำประสานทอง ผงกันบูด เพ่งแซ หรือผงเนื้อนิ่ม ซึ่งสารนี้มีลักษณะเป็นผลึกสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ สีขาวขุ่น ไม่มีกลิ่น

สารบอแร็กซ์ (Borax) เป็นสารเคมีที่มีการนำมาใช้ประโยชน์ในทางอุตสาหกรรมหลายชนิด เช่น ใช้ในอุตสาหกรรมทำแก้วหรือกระจก เพื่อช่วยให้เนื้อแก้วเกิดความเหนียวแข็งแรง ใช้เป็นส่วนผสมในการฉาบภาชนะเครื่องเคลือบหรือเครื่องปั้นดินเผา ให้มีความมันและแวววาวและคงทนดูน่าใช้ และยังนำไปใช้ในเครื่องสำอางชนิดต่าง ๆ เพื่อเป็นวัตถุกันเสียช่วยหยุดยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อราในแป้งทาตัว นอกจากนี้ยังใช้เป็นส่วนผสมในยาทารักษาโรคผิวหนัง ยาฆ่าเชื้อโรค ยากลั้วคอ ยาล้างตา และยังใช้เป็นสารประสานในการเชื่อมทอง ใช้ในอุตสาหกรรมฟอกหนัง ใช้เป็นยาฆ่าแมลง ยาฆ่าเชื้อราเพื่อรักษาเนื้อไม้ ยากำจัดตะไคร่น้ำในสระว่ายน้ำ ใช้ทำอุปกรณ์ไฟฟ้า ใช้ชุบ และเคลือบโลหะ ใช้ในการผลิตถ่านไฟฉาย ใช้ทำสบู่ น้ำยาดัดผม ทำปุ๋ย และอื่น ๆ อีกมากมาย

สารบอแรกซ์กับอาหาร
สืบเนื่องจากสารบอแร็กซ์ (Borax) มีคุณสมบัติทำให้เกิดสารประกอบเชิงซ้อน (Complex compound) กับสารประกอบอินทรีย์โพลีไฮดรอกซี่ (Organic polyhydroxy compound) ส่งผลให้บอแรกซ์เกิดลักษณะเหนียว หนึบ หยุ่น กรอบ เด้ง และยังมีคุณสมบัติเป็นวัตถุกันเสีย พ่อค้าและแม่ค้าหัวใสที่สนใจแต่รายได้ จึงนำเอาสารบอแร็กซ์ผสมลงไปในลูกชิ้น หมูยอ ทอดมัน ไส้กรอก แป้งกรุบ ลอดช่อง ผงวุ้น ทับทิมกรอบ มะม่วงดอง ผักกาดดอง ผักกาดเค็ม เพื่อให้อาหารเหล่านี้ มีลักษณะกรอบ เด้ง แข็ง เหนียวและคงตัวอยู่ได้นาน นอกจากนี้ยังพบว่า มีการนำเอาสารบอแร็กซ์ไปละลายน้ำ แล้วทาหรือชุบลงในเนื้อหมู เนื้อวัว เพื่อให้เนื้อหมูหรือเนื้อวัวดูสดอยู่ตลอดเวลา และยังพบว่ามีการใช้ปลอมปนในผงชูรส เนื่องจากบอแร็กซ์มีลักษณะภายนอกเป็นผลึกคล้ายคลึงกับผลึกของผงชูรส

ทำความรู้จักกับสารบอแรกซ์กันไปแล้วนะครับ พรุ่งนี้เราจะมาพูดกันถึงอันตราย และพิษภัยจากสารบอแรกซ์ พร้อมทั้งวิธีการสังเกตอาหารที่มีสารบอแรกซ์ เพื่อป้องกันไม่ให้ทุกท่านซื้อมารับประทานและได้รับอันตรายโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ แต่ผู้ที่รับประทานอาหารสุขภาพหรืออาหารคลีน (Clean Food) กันอยู่แล้วก็อย่าตบะแตกไปรับประทานอาหารที่มีสารบอแรกซ์จะเป็นการดีที่สุดครับ

วันอังคารที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2558

Dcleanfood.com : ผงชูรส อันตรายที่มากกว่าความอร่อย

จากตอนที่แล้วเราทำความรู้จักกับผงชูรสกันไปแล้วนะครับ ผงชูรสเป็นสารที่ผลิตจากกระบวนการทางเคมีล้วน ๆ และผงชูรสยังเป็นเครื่องปรุงที่ไม่มีคุณค่าทางโภชนาการใดๆ ต่อร่างกายเลย สังเกตกันได้นะครับว่าในเมนูอาหารเพื่อสุขภาพต่าง ๆ รวมถึงเมนูอาหารคลีน (Clean Food) จึงไม่ใช้ผงชูรสเป็นส่วนผสมในเมนูอาหารเลย เพราะนอกจากจะไม่มีประโยชน์แล้วยังก่อให้เกิดโทษแก่ร่างกายของผู้บริโภคเป็นอย่างมาก วันนี้เรามาเรียนรู้ถึงอันตรายที่มากับผงชูรสกันครับ

 Clean Food


อันตรายจากผงชูรส
จากผลการวิจัยของนักโภชนาการระบุว่า อันตรายของผงชูรสนั้นแบ่งออกเป็น 2 สาเหตุด้วยกันคือ อันตรายจากผงชูรสที่เกิดจากเกลือโซเดียม และ อันตรายที่เกิดจากสารเคมีและกระบวนการทางเคมีของตัวผงชูรส

1. อันตรายจากผงชูรสที่เกิดจากเกลือโซเดียม
อันตรายจากผงชูรสที่เกิดจากเกลือโซเดียม สืบเนื่องมาจากการที่ในผงชูรสมีโซเดียมที่เกิดจากโซดาไฟอยู่เป็นจำนวนมาก โซเดียมที่เกิดจากโซดาไฟนี้มีลักษณะองค์ประกอบคล้ายกับเกลือแกง แต่มีพิษภัยและอันตรายกว่าเกลือแกงมาก สังเกตได้จากการที่เรารับประทานเกลือแกงในปริมาณเล็กน้อยแต่ก็รู้สึกเค็ม แต่หากเรารับประทานผงชูรสที่มีโซเดียมจากโซดาไฟเข้าไปในปริมาณมากขนาดไหนก็ไม่มีรสชาติใด ๆ ให้สัมผัส ซึ่งแสดงให้เห็นว่าในผงชูรสมีโซเดียมที่เป็นอันตรายแฝงอยู่อย่างแนบเนียนนั่นเอง เราสามารถแยกอันตรายจากโซเดียมที่อยู่ในผงชูรสได้ออกเป็นข้อ ๆ ดังนี้

1.1 ทำให้ภูมิต้านทานหรือภูมิคุ้มกันของร่างกายมนุษย์ลดลง
ถึงแม้ผงชูรสจะไม่ทำให้เกิดโรคเอดส์โดยตรง แต่ผงชูรสก็ทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายบกพร่องได้ ยิ่งถ้าคนเป็นเอดส์ได้รับประทานอาหารที่ใส่ผงชูรสในปริมาณมาก ๆ ก็มีสิทธิที่ภูมิคุ้มกันจะยิ่งลดต่ำลง และเปิดโอกาสให้มีโรคแทรกซ้อนได้ในที่สุด

1.2 ผงชูรสตกค้างในสมองเด็ก
หากมีผงชูรสตกค้างอยู่ในสมองของเด็กที่รับประทานผงชูรสอย่างต่อเนื่องยาวนาน เมื่อเด็กโตขึ้นอาจจะมีอาการผิดปกติทางสมองหรืออาการปัญญาอ่อนได้ ในปัจจุบันมีเด็กปัญญาอ่อนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นับตั้งแต่มีผงชูรสแพร่หลายในประเทศ นอกจากนั้นผงชูรสยังทำให้เด็กทารกเกิดอาการชักโคม่า ซึ่งบางครั้งแพทย์ไม่รู้สาเหตุ ทำให้การรักษาผิดพลาดได้ ไม่เพียงเท่านั้นผงชูรสยังเป็นอันตรายต่อหญิงมีครรภ์ ทำให้ร่างกายบวมและยังเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์และทารกแรกเกิดด้วย

1.3 เพิ่มความอันตรายให้กับโรคเรื้อรังต่าง ๆ ที่เป็นอยู่
หากผู้ป่วยที่เป็นโรคเรื้อรังต่าง ๆ เช่น โรคไต ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ และโรคอื่นๆที่แพทย์ห้ามรับประทานเค็ม ซี่งหมายถึงการห้ามรับประทานสารจำพวกเกลือโซเดียมนั่นเอง แต่ในผงชูรสมีเกลือโซเดียมที่ได้จากสารโซดาไฟ ซึ่งมีอันตรายต่อร่างกายมากกว่าโซเดียมที่อยู่ในเกลือแกงเป็นอย่างมาก และเมื่อเราใส่ผงชูรสลงในอาหารจะช่วยกระตุ้นต่อมรับรสทำให้รู้สึกว่าอาหารอร่อยขึ้น แต่ไม่มีรสชาติเค็มให้สัมผัสทำให้ผู้บริโภคไม่ได้สังเกตว่า ได้รับเกลือโซเดียมชนิดอันตรายจากผงชูรสไปมากมายเพียงใด ซึ่งเกลือโซเดียมจากผงชูรสนี้ ย่อมส่งผลเสียโดยตรงต่อผู้ป่วยโรคเรื้อรังต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นโรคไต เบาหวาน ความดันโลหิตสูง และโรคหัวใจ ทำให้อาหารของโรคเรื้อรังเหล่านั้นแย่ลงไปอีกโดยที่ไม่ทันสังเกตุ

วันนี้เราทราบถึงอันตรายจากโซเดียมที่อยู่ในผงชูรสกันไปแล้วนะครับ ขึ้นชื่อว่าเกลือโซเดียมหากรับประทานมากเกินไปก็ก่อให้เกิดโทษแก่ร่างกายของทุกท่านได้ครับ ถึงแม้ท่านจะรับประทานหรือปรุงเมนูอาหารคลีน (Clean Food) รับประทานเอง แต่ต้องไม่ลืมควบคุมปริมาณเกลือหรือโซเดียมที่รับประทานเข้าไปในแต่ละมื้อให้ไม่มากจนเป็นอันตรายต่อร่างกายด้วยนะครับ พรุ่งนี้เราจะมาพูดถึงอันตรายและพิษภัยจากผงชูรสตอนจบกันครับ ขอบคุณครับ

วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2558

Dcleanfood.com : ผงชูรส เพิ่มรสชาติอาหารหรือบั่นทอนสุขภาพ

วันนี้เราจะมาทำความรู้จักและทำความเข้าใจกับผงชูรส ซึ่งเป็นเครื่องปรุงรสชาติอาหารที่ไม่มีในเมนูอาหารคลีน (Clean Food) เมนูใดเลย เนื่องจากมีผลการวิจัยระบุว่า ผงชูรสไม่มีประโยชน์ใดๆ ทางโภชนาการเลย เพราะกรดกลูตามิค ที่อยู่ในผงชูรสจัดเป็นสารสื่อนำประสาท ช่วยกระตุ้นให้ตุ่มรับรสที่ลิ้นไวต่อรสอาหาร จึงทำให้รู้สึกว่าอาหารอร่อย แต่หากใช้ในปริมาณมากเกินไป สารเคมีนี้จะบล็อกระบบรับรส ทำให้ตุ่มรับรสเสีย เช่นเวลาที่เรารับประทานอาหารที่มีผงชูรสผสมอยู่เป็นจำนวนมาก จะทำให้เราเกิดอาการลิ้นชานั่นเองครับ วันนี้เราทำความรู้จักกับผงชูรสกันเลยครับ

 Clean Food

รู้จักผงชูรส
ผงชูรส หรือชื่อเรียกทางเคมีคือ โมโนโซเดียม แอล กลูตาเมต ผงชูรสผลิตจากขบวนการทางเคมีแทบทั้งสิ้น ซึ่งประกอบไปด้วยกระบวนการหมักและต้องใช้สารเคมีหลายชนิดเป็นส่วนประกอบ อาทิเช่น กรดกำมะถันหรือกรดซัลฟูริก, กรดเกลือหรือกรดไฮโดรคลอริก, ยูเรีย ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในปัสสาวะของคน และนอกจากนี้ยังต้องใช้โซดาไฟสำคัญอีกประการหนึ่งด้วย

โดยปกติแล้วร่างกายเราจะสามารถผลิตกรดอะมิโนชนิดกลูตามิกได้เอง และกรดอะมิโนตัวนี้นี้เป็นองค์ประกอบในอาหารหลาย ๆ ชนิดที่เรารับประทานเข้าไปอีกด้วย โดยผงชูรสถูกค้นพบโดยผู้คนในแถบเอเชีย เริ่มแรกคือการนำสาหร่ายทะเลมาต้มและใส่ลงในอาหาร จะทำให้รสชาติอาหารจะอร่อยขึ้น ต่อมานักศึกษามหาวิทยาลัยในญี่ปุ่นได้ทำการศึกษาวิจัยว่า สารเคมีตัวไหนที่ทำให้รสชาติของอาหารอร่อยขึ้น ซึ่งผลจากการค้นคว้าแล้วจึงได้ออกมาเป็น โมโนโซเดียม แอล กลูตาเมต ที่มีฤทธิ์กระตุ้นปุ่มประสาทที่โคนลิ้นและลำคอ ทำให้รู้สึกว่าอาหารอร่อยขึ้น แต่ไม่มีคุณค่าทางโภชนาการใดๆ เลย

ชนิดหรือประเภทของผงชูรส
1. ผงชูรสแท้ 98%
คือผงชูรสที่มีสารอื่นผสมอยู่ไม่เกิน 2 กรัมจากปริมาณผงชูรสทั้งหมด 100 กรัม และสารอื่นที่ผสมอยู่ในผงชูรสชนิดนี้ต้องเป็นสารที่ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ของผู้บริโภค โดยสารเหล่านั้นได้แก่สารจำพวก น้ำตาล, เกลือ หรือพริกไทย

2. ผงชูรสชนิดผสม
ผงชูรสชนิดนี้จะมีสารที่ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพผสมอยู่ตั้งแต่ 2 - 50% จากปริมาณ 100%

3. ผงชูรสปลอม
ในอดีตเคยมีผงชูรสปลอมระบาดอย่างหนัก เนื่องจากผงชูรสแท้ได้รับความนิยมและมีราคาค่อนข้างสูง โดยผงชูรสปลอมจะมีการผสมสารเคมีที่เป็นอันตรายต่อร่างกายเช่น สารจำพวกบอแรกซ์ เกลือไพโรฟอสเฟต และสารอันตรายอื่น ๆ เป็นต้น

กล่าวมาถึงตอนนี้หลายท่านคงทราบกันแล้วนะครับว่า ทำไมอาหารชีวจิต หรืออาหารคลีน (Clean Food) ถึงไม่ได้เน้นที่รสชาติของอาหาร เนื่องจากอาหารทั้ง 2 ประเภทนี้ไม่นิยมปรุงแต่งหรือปรุงรสชาติอาหารโดยใช้สารเคมี เพราะจะทำให้ร่างกายได้รับสารอันตรายเข้าไปโดยไม่จำเป็นครับ พรุ่งนี้เราจะมาพูดถึงโทษและอันตรายจากผงชูรสกันครับ

วันอาทิตย์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2558

Dcleanfood.com : สมองดีความจำเป็นเลิศ โดยไม่ต้องพึ่งอาหารเสริม

วันนี้เราจะมาพูดถึงอาหารบำรุงสมองสำหรับทุกเพศทุกวัยกันนะครับ ในปัจจุบันคนนิยมรับประทานอาหารเสริมเพื่อบำรุงสมองกันมากขึ้น แต่ในความเป็นจริงแล้วอาหารเสริมไม่ได้มีความจำเป็นสำหรับเรามากเท่าไรนัก เพราะอาหารเสริมเหล่านี้ก็ทำการสกัดสารอาหารมาจากอาหารธรรมชาติชนิดต่าง ๆ นอกจากนี้ยังทำให้ไตของเราต้องทำงานหนักในการดูดซึมสารอาหารจากอาหารเสริมประเภทต่าง ๆ ไปใช้งานอีกด้วย วันนี้เราจะมาทำความรู้จักอาหารที่รับประทานเข้าไปแล้วช่วยบำรุงระบบประสาท ความจำและสมองของเรากันนะครับ ลองมาดูกันว่ามีอาหารที่ใช้ประกอบเป็นอาหารคลีน (Clean Food) กันอยู่กี่ประเภท

 Clean Food

อาหารที่ช่วยส่งเสริมการทำงานของสมองและระบบประสาท

1. เนื้อปลาโดยเฉพาะปลาทะเล
เนื้อปลาเป็นอาหารบำรุงสมองชั้นเลิศ เพราะในปลาจะมีกรดไขมัน โอเมก้า 3 ช่วยสร้างและดูแลผนังเซลส์ประสาทในสมองให้แข็งแรง ไม่เสื่อมตามวัยเร็วเกินไป และยังมีกรดไขมัน DHA ที่อยู่ในกรดไขมันโอเมก้า3 ที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาและบำรุงเซลส์สมองมาก เพราะเป็นกรดไขมันโซ่ยาวแบบเดียวกันกับที่พบในเยื่อเซลส์สมองของเรา นอกจากนี้ในเนื้อปลายังมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวชนิดสายยาวคือ ARA ที่ช่วยในการพัฒนาสมองและการมองเห็น และมีความจำเป็นต่อการเสริมสร้างเซลล์ประสาทและสายตา เป็นสิ่งที่ต้องการควบคู่ไปกับสารอาหาร DHA โดยสารอาหารเหล่านี้จะอยู่ในเนื้อปลากระพง ปลาแซลมอน ปลาซาร์ดีน ปลาทู และปลาทะเลชนิดอื่น ๆ

2. มะเขือเทศโดยเฉพาะมะเขือเทศปรุงสุก
นอกจากสารต้านอนุมูลอิสระและวิตามินในมะเขือเทศจะช่วยเรื่องผิวพรรณผุดผ่องเพียงดูมีน้ำมีนวลแล้ว มะเขือเทศยังจัดว่าเป็นอาหารบำรุงสมองชั้นดี เพราะมีสารต้านอนุมูลอิสระชื่อว่าไลโคปีน ซึ่งมีส่วนอย่างมากในการช่วยป้องกันโรคหลงลืมได้ เพียงแต่ต้องเราต้องนำมะเขือเทศไปปรุงโดยผ่านความร้อนก่อนเพื่อให้เรารับไลโคปีนจากมะเขือเทศอย่างเต็มที่ และเราไม่ควรรับประทานอาหารแปรรูปจากมะเขือเทศ เพราะจะไม่ได้รับสารไลโคปีนจากมะเขือเทศอย่างเต็มที่

3. กระเทียมโดยเฉพาะกระเทียมสด
อย่างที่เราทราบกันดีว่ากระเทียมเป็นสมุนไพรมหัศจรรย์ เนื่องจากกระเทียมจะช่วยกระตุ้นให้สมองสร้างเทโรนินมากขึ้น ช่วยทำให้เราอารมณ์ดี ลดความเครียด ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลส์ประสาท ช่วยให้ความจำดี ซึ่งโดยปกติเรามักใช้กระเทียมมาประกอบอาหารในหลากหลายเมนูกันอยู่แล้ว เพราะเราสามารถพิสูจน์กันมาได้อย่างยาวนานแล้วว่ากระเทียมมีสรรพคณและประโยชน์มากมายจริง ๆ

4. ไข่
ไข่เป็นอาหารที่ให้โปรตีนและแร่ธาตุต่าง ๆ มากมาย และมีประโยชน์กับทุกเพศทุกวัย และอย่างที่เราทราบกันดีว่าช่วยพัฒนาระบบการทำงานของสมอง โดยสาร โคลิน ที่เราพบในไข่ไก่จะทำหน้าที่สำคัญต่อการพัฒนาการทำงานของสมอง และความจำ โดยมีผลการวิจัยระบุว่าสมองของทารกที่มารดารับอาหารที่มีโคลินนั้นจะมีพื้นที่การจดจำ. และควาสามารถในการจำมากกว่าเด็กที่ไม่ค่อยได้รับประทานไข่ ไข่ไก่สามารถให้พลังงานนานนับหลายชั่วโมง.ไม่ทำให้หิวบ่อยๆ และไม่ต้องกลัวโคเลสเตอรอลสูงหากไม่รับประทานไข่แดงในปริมาณมากอีกด้วย

ช่วงนี้เป็นช่วงการเตรียมตัวสำหรับเข้ามหาวิทยาลัยของน้อง ๆ นักเรียนหลายท่าน และในวัยทำงานก็ยังต้องใช้สมองอย่างมากในแต่ละวัน ผมหวังว่าบทความนี้คงมีประโยชน์กับหลายๆ ท่านนะครับ เราใช้สมองกันอย่างหนักแล้ว ต้องรู้จักบำรุงรักษาให้อยู่กับเราไปนานๆ นะครับ ลองใช้ไข่ มะเขือเทศ หรือ กระเทียม มาปรุงเป็นเมนูอาหารคลีน (Clean Food) รับประทานกันก็จะได้ประโยชน์มากทีเดียวครับ

วันเสาร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2558

Dcleanfood.com : สมุนไพรและอาหารรักษาอาการไข้หวัด ตอนจบ

เมื่อวานเราได้ทราบกันไปบ้างบางส่วนแล้วนะครับสำหรับอาหารป้องกันและรักษาโรคไข้หวัด ซึ่งมุ่งเน้นไปที่อาหารปรุงสุก ด้วยความร้อนเช่นข้าวต้มหรือพืชผักและผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงและควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีความเย็นอย่างบางเมนูของอาหารทั่วไปและบางเมนูของ อาหารคลีน (Clean Food) โดยต้องงดเว้นการดื่มน้ำเย็นโดยเด็ดขาด วันนี้เรามาดูเรื่องสมุนไพรและอาหารรักษาอาการไข้หวัดตอนจบกันได้เลยครับ

 Clean Food

สมุนไพรและอาหารรักษาอาการไข้หวัด

5. ซุปหรือแกงจืดร้อน ๆ โดยเฉพาะซุปไก่
จากผลการสำรวจอาหารยอดนิยมที่หลายๆ ประเทศ ใช้รักษาหรือต้านอาการไข้หวัดคือ ซุปไก่ หรือแกงจืดร้อน ๆ ซึ่งว่ากันว่าใช้กันมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 12 นั่นเลย ตามรายงานวิจัยพบว่าซุปไก่มีฤทธิ์ยับยั้งการเคลื่อนที่ของเม็ดเลือดขาวชนิดที่เรียกว่า นิวโทรฟิลด์ ไปยังเนื้อเยื่อปอด ทำให้ลดกระบวนการอักเสบในปอด และลดอาการไอได้ โดยตำรับซุปไก่ที่ใช้ศึกษาประกอบด้วย ไก่ มะเขือเทศ หอมหัวใหญ่ มันฝรั่ง ก้านขึ้นฉ่าย ผักชี แครอท หัวผักกาด เกลือ และพริกไทย นอกจากนั้นอาหารประเภทต้มที่มีน้ำแกงร้อน ๆ เช่นแกง หรือต้มยำ หากเราใส่สมุนไพรที่ใช้ต้านอาการหวัดเพิ่มเติมเข้าไปก็สามารถช่วยต้านทานหรือรักษาอาหารไข้หวัด ได้เป็นอย่างดีเช่นเดียวกัน

6. ขิง
ขิงมีสรรพคุณช่วยขับเหงื่อออกจากร่างกายซึ่งการขับเหงื่อออกจากร่างกายนี้ช่วยให้ร่างกายได้ถ่ายเทความร้อนออกมาทำให้อาการของไข้หวัดดีขึ้น และขิงยังมีฤทธิ์ แก้หวัด เย็น (หวัดเย็น คือรู้สึกหนาว มีไข้ต่ำ ไม่ค่อยมีเหงื่อออก มีเสมหะมักเหลวใส) และยังช่วยบรรเทาอาการปวดท้อง ท้องอืด และข้ออักเสบได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจอีกด้วย ช่วงฝนพรำ สภาพอากาศเปลี่ยนและชื้น ๆ แบบนี้ เมื่อเริ่มจะรู้สึกเซื่อง ๆ เฉื่อยชา หนาว ๆ มีน้ำมูกใสไหลจี๊ด ๆ หรือเริ่มมีเสมหะ ก็อย่าได้ชะล่าใจ รีบทำการป้องกันหรือรักษา การรับประทานน้ำขิงร้อน ๆ ก็เป็นอีกวิธีที่ช่วยป้องกันและรักษาอาการไข้หวัดได้

7. เนื้อสัตว์ที่มีกรดไขมันโอเมก้า 3 เช่นเนื้อปลาทะเล
ปลาทะเลจำพวก ปลาแซลมอน ปลาทูน่า ปลาแมคเคอเรล และหอยนางรม เป็นอาหารทะเลที่มีไขมันโอเมก้า 3 สูงมาก ซึ่งกรดไขมันชนิดนี้เป็นกรดไขมันที่มีประโยชน์ต่อร่างกายโดยเฉพาะคนที่กำลังเป็นไข้หวัด เพราะจะไปช่วยลดอาการอักเสบที่ทำให้ภูมิคุ้มกันของเราอ่อนแอลงในขณะที่เป็นไข้หวัด นอกจากเนื้อปลาแล้วในหอยนางรมยังมีแร่ธาตุสังกะสีที่ช่วยป้องกันเชื่อไวรัสสูง และอาหารจำพวกเนื้อปลายังเป็นอาหารที่มีโปรตีนสูง ที่ร่างกายสามารถย่อยและดูดซึมพลังงานเข้าไปใช้ได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย ทำให้กรดไขมันโอเมก้า 3 ถูกดูดซึมและออกฤทธิ์ในร่างกายของเราได้เร็วขึ้น

8. น้ำผึ้งผสมมะนาวชงดื่มร้อน ๆ
อย่างที่เราทราบกันนะครับในน้ำมะนาวมีวิตามินซีสูงเช่นเดียวกับผลไม้ตระกูลส้ม และในน้ำมะนาวยังมีฤทธิ์แก้อาการเจ็บคอ ทำให้อาการเจ็บคอจากไข้หวัดทุเลาลง ส่วนในน้ำผึ้งนั้นมีสารอาหารและวิตามินที่มีประโยชน์รวมกันอยู่มากมายหลายชนิด โดยเฉพาะในน้ำผึ้งมีสารต้านอนุมูลอิสระอยู่มาก ซึ่งสารต้านอนุมูลอิสระตัวนี้ ตามที่เรากล่าวแล้วว่ามีประโยชน์ในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและต่อต้านอาการของโรคหวัด ทำให้ร่างกายของเราแข็งแรงและรักษาตัวเองได้เป็นอย่างดี เมื่อนำทั้งสองอย่างมาชงด้วยกันแล้วดื่มร้อน ๆ จะช่วยรักษาและต่อต้านอาการไข้หวัดได้เป็นอย่างดีไม่แพ้อาหารชนิดอื่น ๆ ครับ

จบแล้วนะครับสำหรับสมุนไพรและอาหารรักษาอาการไข้หวัด หากใครเป็นไข้หวัดกันในช่วงนี้ผมหวังว่าบทความนี้คงมีประโยชน์กับท่านและครอบครัวของท่านผู้อ่านไม่มากก็น้อยนะครับ ที่สำคัญนะครับหลังจากที่อาการหวัดของเราดีขึ้น ให้รับประทานอาหารร้อน หรือรับประทานสมุนไพรหรือผลไม้ที่มีวิตามินซี ต่อไปอีกสักพักนะครับอาการหวัดจะได้หายขาย และอย่าเพิ่งรับประทานอาหารที่มีความมันหรืออาหารที่มีความเย็น อย่างอาหารทั่วไปบางเมนู อาหารเจที่มีความมันมาก และอาหารคลีน (Clean Food) บางเมนูที่ไม่ได้ใช้ความร้อนในการปรุงครับ ช่วงนี้ดูและสุขภาพกันด้วยนะครับ ขอบคุณครับ

วันศุกร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2558

Dcleanfood.com : สมุนไพรและอาหารรักษาไข้หวัด

ช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยนะครับ รอบข้างผมมีหลายคนที่โดนอาการหวัดเล่นงาน บางคนเป็นหวัดและมีไข้ตลอดเวลา วันนี้ผมจึงอยากจะนำเสนอเรื่องอาหารช่วยรักษาอาการไข้หวัดอาหารที่ช่วยให้อาการของไข้หวัดดีขึ้นได้แก่อาหารร้อนและอาหารที่ปรุงสุกใหม่ๆ วันนี้อาหารที่เรานำเสนออาจจะไม่เกี่ยวข้องกับอาหารคลีน (Clean Food) มากนะครับเนื่องจากอาหารคลีน(Clean Food) ไม่เน้นกระบวนการปรุงอาหารมากนัก เราไปเรียนรู้อาหารป้องกันโรคหวัดกันเลยครับ


อาหารป้องกันและรักษาไข้หวัด

1. ดื่มน้ำอุ่นให้มากๆ
ผู้ป่วยเป็นไข้หวัดควรดื่มน้ำอุ่น ๆ ให้มาก ๆ และไม่ควรดื่มน้ำเย็นซึ่งจะทำให้เจ็บคอและไอมากขึ้น ควรจิบน้ำอุ่นหรือน้ำสมุนไพรอุ่น ๆ ตลอดเวลา เช่น น้ำตะไคร้ น้ำมะตูม น้ำใบเตย น้ำเก๊กฮวย จะช่วยให้ชุ่มคอ บรรเทาอาการไอ และละลายเสมหะ การจิบน้ำอุ่นบ่อย ๆ ร่วมกับการรักษาความสะอาดภายในช่องปาก จะช่วยให้อาการเจ็บคอทุเลาและฟื้นตัวได้เร็วขึ้นด้วย

2. รับประทานผักหรือสมุนไพรธรรมชาติที่มีรสเผ็ด
สมุนไพรและอาหารที่มีรสเผ็ดเป็นอาหารที่ช่วยให้จมูกโล่ง หายคัดจมูก ก็คืออาหารที่มีพริกชนิดต่าง ๆ เป็นส่วนประกอบ ไม่ว่าจะเป็น พริกขี้หนู พริกชี้ฟ้า พริกแห้ง รวมไปถึงพริกไทย และสมุนไพรรสเผ็ดร้อนอื่น ๆ เราสามารถกินเผ็ดอย่างเอร็ดอร่อยและหลากหลายในอาหารหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น พริกขี้หนูในต้มยำ พริกชี้ฟ้าในผัดเผ็ด พริกไทยในแกงเลียง พริกแห้งในลาบ หรืออาหารที่มีส่วนผสมของสมุนไพรรสเผ็ดร้อนต่าง ๆ เช่น ขิง กะเพรา โหระพา เป็นต้น

3. ผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง มะละกอ และส้ม
ผู้ป่วยเป็นไข้หวัดควรรับประทานผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงเช่น มะละกอ หรือส้มชนิดต่าง ๆ และหากท่านเป็นคนที่สูบบุหรี่หรือสูบบุหรี่จัดมาก บุหรี่จะเพิ่มความเสี่ยงการเป็นหวัดและทำให้ร่างกายต้องการวิตามินซีสูงขึ้นวิตามินซีป้องกันหวัดได้ ถ้ารู้ตัวว่าร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง ติดหวัด เป็นหวัดง่าย ก็ต้องกินผักและผลไม้ให้วิตามินซีมากๆ เช่น ส้ม มะละกอสุก มะม่วง ฝรั่ง สับปะรด ส้มโอ ชมพู่ พุทรา มะขาม แตงโม ฯลฯ

4. กระเทียมสด
กระเทียมสดเป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณต่าง ๆ มากมาย และหนึ่งในสรรพคุณนั้นคือการเป็นยาดีช่วยลดอาการหวัดได้ เมื่อมีอาการหวัด ให้นำกระเทียม 1 กลีบเล็กมาหั่นเป็นชิ้นบาง ๆ แล้วใช้ช้อนบี้ให้แตก เติมน้ำร้อนลงไป 1 ถ้วย ปิดฝาทิ้งไว้ 5 นาที จากนั้นเติมน้ำผึ้ง และมะนาวเล็กน้อย ดื่มวันละ 2 ถ้วย จะช่วยบรรเทาอาการได้ เมื่อหายแล้วให้ดื่มต่ออีกสัก 3 วัน วันละ 1 ถ้วย หรือถ้าติดใจจะดื่มเป็นประจำก็ได้ เพราะกระเทียมจะช่วยป้องกันและรักษาไข้หวัดได้อย่างดี นักวิจัยชาวจีน ดร.เบนจามิน เลา แห่งมหาวิทยาลัยโลมาลินดาในแคลิฟอร์เนีย ได้ศึกษายารักษาโรคตามแบบแพทย์ตะวันออกมานาน ได้ทำการศึกษาแล้วพบว่า “กระเทียม” มีกำมะถันเป็นองค์ประกอบ ซึ่งออกฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียและไวรัสหวัดได้โดยตรง และยังช่วยกระตุ้นการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาวได้

จบไปแล้วนะครับสำหรับตอนแรกของอาหารป้องกันและรักษาไข้หวัด คนที่ป่วยเป็นไข้หวัดควรเน้นรับประทานอาหารปรุงสุกและอาหารร้อน ๆ นะครับ สำหรับท่านที่รับประทานอาหารเจ อาหารมังสวิรัติอาหารคลีน (Clean Food) ที่มีความมันมาก ๆ ก็ควรงดเว้นไปก่อน รอให้อาการหวัดหายดีค่อยกลับมารับประทานครับ ขอบคุณครับ

วันพฤหัสบดีที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2558

Dcleanfood.com : อันตราย!! จากสารเร่งเนื้อแดงที่มากับเนื้อสัตว์

จากตอนที่แล้วเราทราบถึงโทษของสารเร่งเนื้อแดงในเนื้อสัตว์กันไปแล้วนะครับ สารเร่งเนื้อแดงคือสารในกลุ่มเบต้าอะโกนิสต์ (b-Agonist) ซึ่งเป็นสารที่เกษตรกรนำไปผสมกับอาหารสัตว์เพื่อเพิ่มปริมาณเนื้อแดง และลดชั้นไขมันที่ขายไม่ได้ราคาในเนื้อหมูและเนื้อวัวเพื่อให้เนื้อสัตว์ขายได้ราคามากยิ่งขึ้น สำหรับผู้ที่รับประทานอาหารเจ อาหารมังสวิรัติ และอาหารคลีน (Clean Food) ที่ไม่รับประทานเนื้อสัตว์คงไม่เกิดปัญหา แต่คนไทยยังมีค่านิยมการรับประทานเนื้อหมูหรือเนื้อวัวที่มีสีแดงสดดูน่ารับประทานโดยไม่คำนึงถึงโทษที่จะได้รับจากสารเร่งเนื้อแดงที่เปรียบเสมือนยาพิษที่มากับเนื้อสัตว์ที่มีสีสันสวยงามน่ารับประทาน


อันตรายของสารเร่งเนื้อแดงต่อสัตว์ที่รับประทานเข้าไป
สารในกลุ่มเบต้าอะโกนิสต์ (b-Agonist) ที่เกษตรกรนำไปผสมกับอาหารให้สัตว์รับประทานก่อให้เกิดผลข้างเคียงต่อตัวสัตว์ทั้งหมูและวัว ทำให้สัตว์ที่รับประทานเข้าไปเกิดอาการหัวใจเต้นเร็วขึ้นอย่างผิดปกติ ในสัตว์บางชนิดเช่นหมูอาจพบการตายของกล้ามเนื้อหัวใจ อุณหภูมิในร่างกายสัตว์จะเพิ่มสูงขึ้นอย่างผิดปกติ ส่งผลทำให้หมูและวัวที่รับประทานเร่งเนื้อแดงเข้าไปไม่สามารถทนต่อความร้อนได้น้อยลง และอาจทำให้สัตว์เกิดภาวะเครียดจากความร้อน (heat Stroke) ได้ และให้ลองสังเกตุสัตว์ที่ได้รับสารเร่งเนื้อแดงเข้าไปแล้วยังมีชีวิตอยู่ จะมีลักษณะมัดกล้ามที่เด่นชัดกว่าปกติ โดยเฉพาะบริเวณสะโพก สันหลัง หรือบริเวณหัวไหล่ ถ้าได้รับปริมาณสูงมากๆ และได้รับอย่างต่อเนื่องทุกวันจะทำให้สัตว์มีอาการเครียด กระวนกระวาย เกรี้ยวกราด และมีอาการสั่นอยู่ตลอดเวลา

อันตรายของมนุษย์ที่บริโภคเนื้อสัตว์ที่มีสารเร่งเนื้อแดงเข้าไป
หากผู้บริโภครับประทานเนื้อสัตว์ที่มีสารเร่งเนื้อแดงตกค้างอยู่เข้าไป จะส่งผลต่อการทำงานของระบบประสาทในร่างกายของผู้บริโภค ที่ทำการควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจ รวมถึงกล้ามของหลอดเลือด ผนังหลอดเลือด หลอดลม กระเพาะปัสสาวะ เป็นต้นในรายที่บริโภคสารเร่งเนื้อแดงเข้าไปในปริมาณมาก ๆ ผู้ที่รับประทานอาจมีอาการรุนแรงคือมือสั่น กล้ามเนื้อต่าง ๆ ภายในร่างกายมีการกระตุก มีอาการปวดศีรษะ วิงเวียนศรีษะ จนอาจให้เกิดอาการคลื่นไส้หรืออาเจียนอย่างรุนแรง บางรายมีอาการเป็นลม หรือการทำงานของหัวใจผิดปกติเนื่องจากหัวใจเต้นเร็วผิดปกติ หากรับประทานสารเร่งเนื้อแดงเข้าไปอย่างต่อเนื่องจะเกิดอาการนอนไม่หลับ มีอาการผิดปกติทางจิตประสาท และสารเร่งเนื้อแดงยังเป็นอันตรายอย่างมากสำหรับหญิงมีครรภ์และผู้ที่มีอาการของโรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน หรือโรคไฮเปอร์ไทรอยด์

ทราบถึงอันตรายของสารเร่งเนื้อแดงในเนื้อหมูและเนื้อวัวกันไปแล้วนะครับ หากในแต่ละวันเราทำอาหารรับประทานเองเรายังสามารถหลีกเลี่ยงเนื้อหมูที่มีสารเร่งเนื้อแดงได้ แต่หากเราต้องซื้ออาหารจากนอกบ้างเพื่อรับประทาน เราอาจจะได้รับสารเร่งเนื้อแดงเข้าสู่ร่างกายโดยไม่รู้ตัวทางออกที่ดีที่สุดสำหรับปัญหาสารเร่งเนื้อแดงคือ เลือกรับประทานอาหารโปรตีนจากแหล่งอื่นเช่นจากธัญพืชหรือพืชตระกูลถั่วแทนการรับประทานโปรตีนจากเนื้อสัตว์ หรือเลือกรับประทานเนื้อปลาแทนเนื้อหมูหรือเนื้อวัวก็เป็นหนึ่งในทางออกสำหรับปัญหาการปนเปื่อนของสารเร่งเนื้อแดงครับ โดยเราจะสังเกตได้ว่าในเมนูอาหารคลีน (Clean Food) จะใช้เนื้อปลามาทำอาหารมากกว่าเนื้อหมูหรือเนื้อวัวซึ่งย่อยยากและมีการปนเปื้อนได้มากกว่าครับ

วันพุธที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2558

Dcleanfood.com : สารเร่งเนื้อแดง อันตรายใกล้ตัวที่มากับเนื้อสัตว์

สารอาหารหลักที่ร่างกายต้องการเพื่อนำไปเสริมสร้างร่างกายให้เจริญเติบโตและช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอคือสารอาหารจำพวกโปรตีน ซึ่งมีอยู่ในเนื้อสัตว์ต่าง ๆ ธัญพืชหรือพืชตระกูลถั่ว ถ้าเราเลือกรับประทานอาหารตามหลักของอาหารคลีน (Clean Food) เราจะเลือกรับประทานสารโปรตีนจากพืชตระกูลถั่วหรือธัญพืชเป็นหลัก แต่อาหารโปรตีนที่คนไทยนิยมรับประทานมากที่สุดคือเนื้อสัตว์ ซึ่งการเลือกเนื้อสัตว์ของคนไทยส่วนใหญ่ยังมีความเข้าใจที่ผิดอยู่เนื่องจาก คนส่วนใหญ่มักเลือกเนื้อสัตว์ที่มีสีแดงสดน่ารับประทานและมีปริมาณเนื้อแดงมากกว่าไขมันโดยเฉพาะเนื้อหมู ซึ่งสีแดงสดน่ารับประทานของเนื้อสัตว์ดังกล่าวนั้นเกิดจากสารเร่งเนื้อแดงที่มีอันตรายอย่างมากต่อร่างกายของผู้รับประทาน


สารเร่งเนื้อแดงคืออะไร ?
สารเร่งเนื้อแดงคือสารในกลุ่มเบต้าอะโกนิสต์ (b-Agonist) สารนี้ใช้กันอย่างมากในการผลิตยาที่ใช้ในการบรรเทาโรคหอบ หืด โดยสารนี้มีจุดเด่นในการช่วยให้กล้ามเนื้อขยายตัว และช่วยในการขยายหลอดลมทำให้การหายใจทำได้สะดวก สารเร่งเนื้อแดงที่พบว่ามีการใช้กันมากในประเทศไทยมีด้วยกัน 2 ชนิด ได้แก่สาร เคลนบิวเทอรอล และซาลบูทามอล ซึ่งสารเร่งเนื้อแดงทั้งสองตัวนี้มีคุณสมบัติช่วยในการขยายกล้ามเนื้อได้เป็นอย่างดี ทำให้เกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์โดยเฉพาะหมูและวัว นำสารทั้ง 2 ชนิดนี้ผสมกับอาหารให้หมูและวัวรับประทาน ทำให้เนื้อหมูหรือเนื้อวัวที่เกษตรกรเลี้ยงนั้น มีส่วนของเนื้อแดงมากขึ้น ชั้นไขมันในเนื้อสัตว์มีน้อยลง และเนื้อแดงมีสีสดน่ารับประทาน ทำให้เกษตรกรขายเนื้อหมูและเนื้อวัวได้ราคาดีกว่าเดิม

สำหรับในเรื่องของการส่งออกเนื้อสัตว์โดยเฉพาะเนื้อวัวและเนื้อหมูไปยังต่างประเทศนั้น การที่เกษตรกรชาวไทยใช้สารเร่งเนื้อแดงในกลุ่มสารเบต้าอะโกนิสต์ ซึ่งทำให้เกิดความเสียหายอย่างมากสำหรับการส่งออก โดยสารกลุ่มนี้เป็นสารต้องห้ามของประเทศคู่ค้ารายใหญ่ของประเทศไทย ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรป (อียู) และประเทศอื่นๆ หากพบสารในกลุ่ม เบต้าอะโกนิสต์ ในผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ที่มีการส่งออกไปยังประเทศต่าง ๆ ดังกล่าว เนื้อสัตว์เหล่านั้นจะถูกระงับการนำเข้า สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจและชื่อเสียงในการเป็นแหล่งผลิตเนื้อวัวและเนื้อหมูแหล่งสำคัญของโลกอย่างประเทศไทยเป็นอย่างมาก ดังนั้นผู้บริโภคจึงควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องสารเร่งเนื้อแดง และเลือกรับประทานเนื้อหมูหรือเนื้อวัวที่มาจากธรรมชาติเพื่อให้เกษตรกรผู้เลี้ยงหมูและวัวเลือกใช้สารเร่งเนื้อแดงผสมกับอาหารสัตว์ให้หมูและวัวรับประทาน เพื่อให้การส่งออกเนื้อหมูและเนื้อวัวของประเทศไทยมีส่วนแบ่งทางการตลาดในปริมาณที่สูงเหมือนเดิมครับ และที่สำคัญช่วยให้ผู้บริโภคไม่ได้รับสารเร่งเนื้อแดงเหล่านี้เข้าสู่ร่างกายซึ่งจะเป็นอันตรายเป็นอย่างมากครับ

พรุ่งนี้เราจะมาพูดถึงอันตรายของสารเร่งเนื้อแดงกันต่อนะครับ เนื้อสัตว์เป็นแหล่งโปรตีนสำคัญสำหรับคนไทยมาอย่างยาวนานนะครับ แต่เราก็สามารถเลือกรับประทานอาหารประเภทอื่น ๆ ที่ให้โปรตีนได้เช่นเดียวกัน โดยหากเราเลือกรับประทานอาหารเจ อาหารมังสวิรัติหรือ อาหารคลีน (Clean Food) ในบางเมนูเราก็จะได้รับสารโปรตีนที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายและไม่ต้องเสี่ยงกับสารเร่งเนื้อแดงด้วยครับ ขอบคุณครับ

วันอังคารที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2558

Dcleanfood.com : อาหารและข้อควรปฏิบัติของคุณพ่อวัยทอง ตอนจบ

ต่อจากเมื่อวานนี้นะครับ ตอนนี้จะเป็นตอนส่งท้ายวันพ่อแห่งชาติในปีนี้นะครับ ในตอนที่แล้วเรากล่าวถึงข้อควรปฏิบัติและอาหารของคุณพ่อในวัยทองกันไปบ้างแล้ว วันนี้เราจะมาพูดถึงเนื้อหาในส่วนที่เหลือกันครับ ตามที่ทราบกันดีว่าคุณพ่อในวัยทองต้องการโปรตีนและสารต้านอนุมูลอิสระ เพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อ กระดูกและอวัยวะต่าง ๆ ให้แข็งแรง และสารต้านอนุมูลอิสระนั้นมีส่วนอย่างมากในการช่วยชะลอความเสื่อมของร่างกายของคุณพ่อในวัยทอง แต่ไม่ใช่ว่าร่างกายของคุณพ่อในวัยทองจะไม่ต้องการไขมันเลยนะครับ ร่างกายของคนในวัยทองยังต้องการไขมันอยู่เพียงแต่ต้องระมัดระวังในการรับประทานไขมันเป็นอย่างมาก และควรรับประทานไขมันประเภทไม่อิ่มตัว เนื่องจากในวัยของคุณพ่อวัยทองมีความเสี่ยงอย่างมากในการเป็นโรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง และโรคหลอดเลือดต่าง ๆ โรคเหล่านี้ต่างมีสาเหตุมาจากคอเลสเตอรอลในร่างกายแทบทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นการรับประทานไขมันของคุณพ่อในวัยทองควรเป็นไขมันที่ดี และไม่ควรรับประทานในปริมาณที่มากเกินความต้องการของร่างกายอาหารคลีน (Clean Food) จะดีกับคุณพ่อในวัยทองมากกว่าอาหารเจนะครับ เพราะอาหารเจบางชนิดปรุงแต่งโดยใช้ไขมันหรือน้ำมันมากจนเกินไปซึ่งอาจส่งผลเสียต่อร่างกายคุณพ่อที่อยู่ในวัยทองได้ครับ


อาหารและข้อควรปฏิบัติของคุณพ่อวัยทอง

ข้อที่ 5. ควบคุมน้ำหนักของตนเองให้อยู่ในเกณฑ์ปกติอยู่เสมอ ข้อนี้มีความหมายรวมทั้งการออกกำลังกายและการเลือกรับประทานอาหารให้พอเหมาะในแต่ละวันครับ เพราะคุณพ่อในวัยทองมักจะไม่ได้ทำกิจกรรมหนักๆ หรือออกกำลังกายมากนัก ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดภาวะโรคอ้วนหรือน้ำหนักเกินได้ง่ายกว่า คุณพ่อที่อยู่ในวัยรุ่นหรือคุณพ่อที่อยู่ในวัยทำงาน ซึ่่งหากคุณพ่อในวัยทองมีภาวะของโรคอ้วนแล้วอาจจะเกิดโรคต่างๆ ตามมาอีกมากมาย เช่น โรคเบาหวาน โรคหลอดเลือด โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง โรคกล้ามเนื้อหรือไขข้ออักเสบ และโรคเก๊าท์เป็นต้น

ข้อที่ 6. งดดื่มเหล้า สูบบุหรี่ หรือยาเสพติดประเภทต่าง ๆ โดยเด็ดขาด เครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือสิ่งเสพติดต่าง ๆ มีอันตรายต่อร่างกายของคุณพ่อที่อยุ่ในวัยทองเป็นอย่างมาก โดยก่อนหน้านี้ร่างกายของคุณพ่อยังมีความแข็งแรงยังสามารถขับแอลกอฮอล์ออกจากร่างกายได้ดี แต่เมื่อย่างเข้าสู่วัยทอง ความแข็งแรงของร่างกายลดน้อยลงการขับของเสียออกจากร่างกายทำได้น้อยลง ซึ่งจะส่งผลให้แอลกอฮอล์หรือสิ่งเสพติดต่าง ๆ ตกค้างอยู่ในร่างกายของคุณพ่อในวัยทองมากกว่าคนที่มีอายุน้อยกว่า หรือในส่วนของการสูบบุหรี่ ปอดของคุณพ่อที่อยู่ในวัยทองไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพเหมือนกับในวัยทำงานหรือในวัยรุ่น ทำให้สารพิษต่าง ๆ ตกค้างอยู่ในร่างกายหรือในปอดมากขึ้น ซึ่งอาจจะก่อให้เกิดมะเร็งในส่วนต่าง ๆ ของระบบทางเดินหายใจเช่นมะเร็งกล่องเสียง หรือมะเร็งปอดได้

ข้อที่ 7. ดื่มนมวันละ 1 แก้ว และรับประทานที่มีแคลเซียมสูงเพื่อช่วยบำรุงกระดูกและป้องกันโรคกระดูกพรุน ปริมาณการดื่มนมที่เหมาะสมของคุณพ่อในวัยทองคือไม่เกิน 1 แก้วต่อวัน เพราะคุณพ่อในวัยทองอาจจะมีปัญหาในการย่อยนมหรือโปรตีนจากนม การดื่มนม 1 แก้วต่อวัน จึงเป็นปริมาณที่เหมาะสมที่สุดสำหรับคุณพ่อในวัยทอง เมื่อคุณพ่อวัยทองสามารถรับโปรตีนและแคลเซี่ยมจากนมได้ไม่เกิน 1 แก้วต่อวัน จึงต้องมีการรับประทานอาหารที่มีแคลเซี่ยมสูง เช่น ปลาตัวเล็ก ๆ ที่สามารถรับประทานได้ทั้งกระดูก กุ้งแห้งที่สามารถรับประทานได้ทั้งเปลือก ทดแทนเข้าไปเพื่อให้ร่างกายได้รับแคลเซี่ยมในปริมาณที่เหมาะสม เพื่อช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูกและป้องกันโรคกระดูกพรุน

ข้อที่ 8. รับประทานพืชผักและผลไม้ให้มากขึ้น คุณพ่อในวัยทองควรรับประทานพืชผักและผลไม้ให้มากกว่าในวัยรุ่นหรือวัยทำงาน เนื่องจากเมื่ออยู่ในวัยรุ่นหรือในวัยทำงาน การทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ยังทำงานได้อยู่ในเกณฑ์ดี แต่เมื่อย่างเข้าสู่วัยทอง อวัยวะต่าง ๆในร่างกายจะมีความเสื่อมถอยลงไปมาก กระเพาะอาหารหรือลำไส้อาจจะไม่สามารถย่อยเนื้อสัตว์หรืออาหารประเภทอื่น ๆ ได้ดีเหมือนเดิม การรับประทานพืชผักและผลไม้ให้มากขึ้น นอกจากร่างกายของคุณพ่อในวัยทองจะได้รับวิตามิน เกลือแร่ เบต้าแคโรทีน หรือสารต้านอนุมูลอิสระเข้าสู่ร่างกายมากขึ้นแล้ว กากใยอาหารในพืชผักและผลไม้ยังมีส่วนสำคัญอย่างมากในการช่วยให้ระบบการย่อยอาหารของคุณพ่อในวัยทองทำงานได้ดีขึ้นอีกด้วย พืชผักและผลไม้ต่าง ๆ เราสามารถทำรับประทานเองได้ตามเมนู อาหารคลีน (Clean Food) ทั่ว ๆ ไปครับ

จบแล้วนะครับสำหรับ เนื้อหาเกี่ยวกับอาหารสำหรับคุณพ่อ คุณพ่อรักและดูแลเราเป็นอย่างดีมาจนเรามีความสุขมาได้จนถึงปัจจุบันนะครับ การตอบแทนพระคุณคุณพ่อโดยการเอาใจใส่และดูแลท่าน จึงเป็นหน้าที่ที่สำคัญที่คนเป็นลูกทุกคนสมควรกระทำครับ ในวันพ่อแห่งชาติในปีนี้ผมขอให้คุณพ่อทุกท่านมีสุขภาพแข็งแรงอยู่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของลูก ๆ ต่อไปนาน ๆ นะครับ มีความสุขมาก ๆ ครับ

วันจันทร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2558

Dcleanfood.com : อาหารและข้อควรปฏิบัติของคุณพ่อวัยทอง

เมื่ออายุคุณพ่อของเราเลยผ่ายวัยรุ่นและวัยทำงานมาแล้ว คุณพ่อของพวกเราก็จะเข้าสู่วัยทอง ซึ่งฮอร์โมนหลักที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของเพศชายได้แก่ ฮอร์โมนที่ชื่อว่า "แอนโดรเจน" ตามธรรมชาติโดยทั่วไปผู้ชายและผู้หญิงเมื่อผ่านพ้นวัยรุ่นมาแล้วผู้ชายจะดูแก่ช้ากว่าผู้หญิง แต่เมื่อเข้าสู่วัยทองแล้วการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายของคุณพ่อเราก็จะเสื่อมถอยลงไปมาก และเมื่อเข้าสู่วัยทองผู้ชายส่วนใหญ่จะมีปัญหาทางด้านภาวะอารมณ์คือหงุดหงิดง่าย ขี้น้อยใจ หรือซึมเศร้า และปัญหาที่สำคัญที่สุดอีกประการหนึ่งของคุณพ่อในวัยทองคือปัญหาสมรรถภาพทางเพศที่ลดลงไปอย่างมาก และไม่สามารถใช้งานได้อย่างดีและเป็นปกติเหมือนเก่า ซึ่งปัญหานี้เป็นปัญหาใหญ่ของผู้ชายหลายคน นอกจากนี้ยังมีอาการผมบาง ผมร่วง ผิวหนังเหี่ยวย่น และมีโรคภัยต่างๆ เข้ามารุมเร้าคุณพ่อในวัยทองได้มากขึ้น ทำให้คุณพ่อในวัยนี้บางท่านมีอาการซึมเศร้าท้อแท้ในการใช้ชีวิต ผู้เป็นบุตรหลานอย่างเราควรให้การดูแลคุณพ่อในวัยนี้อย่างใกล้ชิด ให้ท่านได้รับอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย และอาหารเสริมที่ช่วยในการชะลอความเสื่อมของอวัยวะต่าง ๆ ภายในร่างกาย ในวัยทองคุณพ่อควรควบคุมปริมาณการรับประทานอาหาร แต่ต้องรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายเพื่อให้ร่างกายของคุุณพ่อได้รับสารอาหารอย่างพอเพียง อาหารคลีน (Clean Food) ก็เป็นอาหารที่เหมาะกับคุณพ่อในวัยทองเป็นอย่างมากนะครับ แต่คุณพ่อในวัยนี้ต้องการอาหารเสริมเพื่อเพิ่มความเสริมสร้างความแข็งแรงของร่างกายและชะลอการเสื่อมถอยของกล้ามเนื้อและกระดูกเพิ่มเติมเป็นอย่างยิ่ง


อาหารและข้อควรปฏิบัติของคุณพ่อวัยทอง

1. ควรรับประทานอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่ โดยเลือกรับประทานในปริมาณที่เหมาะสมและควรเปลี่ยนเมนูอาหารอยู่ตลอดเวลาเพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่หลากหลายขึ้นและไม่ได้รับสารอาหารชนิดใดมากจนเกินไป

2. ออกกำลังกายครั้งละ 30 นาทีอย่างสม่ำเสมอ และไม่ควรออกกำลังออกกำลังกายอย่างหักโหมจนเกินไป เพราะร่างกายของคนวัยทองอาจจะไม่สามารถรับการออกกำลังกายอย่างหนักหน่วงได้ คุณพ่อในวัยทองความเสื่อมของร่างกายทั้งเรื่องของกล้ามเนื้อและกระดูกจะมีสูงมากคุณพ่อในวัยทองจึงต้องการการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเพื่อช่วยให้กล้ามเนื้อและกระดูกแข็งแรงขึ้น และป้องกันโรคกระดูกพรุน นอกจากนี้การออกกำลังกายในคุณพ่อวัยทองยังช่วยเพิ่มฮอร์โมน Endorphin ทำให้ร่างกายมีความผ่อนคลายและนอนหลับได้ง่ายขึ้น การออกกำลังกายที่ดีที่สุดของคุณพ่อในวัยทองคือการขี่จักรยาน การเดินเร็ว เป็นต้น

3. ปรับอารมณ์และทำให้จิตใจสดชื่นแจ่มใสอยู่เสมอ จากที่เคยกล่าวไว้แล้วว่าคุณพ่อในวัยทองจะมีอารมณ์แปรปรวนเนื่องจากฮอร์โมนแอนโดรเจนทำงานน้อยลง ประกอบกับความเสื่อมถอยของร่างกายเช่นผิวหนัง เส้นผม กล้ามเนื้อ และกระดูกจนทำให้เกิดอาการซึมเศร้าได้ง่าย เมื่อเกิดอาการซึมเศร้าแล้ว อาจจะมีโรคอื่นๆ แทรกซ้อนเข้ามาทำให้เกิดอาการเจ็บป่วยทางร่างกายและจิตใจมากขึ้นได้ ดังนั้นคุณพ่อในวัยทองควรได้รับการดูแลเอาใจใส่และการให้ความเข้าใจอย่างใกล้ชิดจากลูกหลาน เพื่อให้ท่านมีอารมณ์ที่เบิกบานแจ่มใสอยู่เสมอ เพื่อป้องกันไม่ให้มีโรคภัยต่าง ๆ เกิดขึ้นกับคุณพ่อของเรา

4.พักผ่อนให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย เมื่อคุณพ่อผ่านพ้นจากวัยทำงานเข้าสู่วัยทองแล้ว ไม่ควรให้ท่านทำงานหนักเหมือนเดิมและไม่ควรทำงานเกินวันละ 6 ชั่วโมง เพราะการทำงานหนักและนานจนเกินไปจะยิ่งทำให้คุณพ่อในวัยทองต้องใช้งานกล้ามเนื้อหรือสมองมากขึ้น ทำให้เป็นการเร่งความเร็วในการเสื่อมถอยของร่างกายให้เร็วมากยิ่งขึ้นและการทำงานยังอาจจะก่อให้เกิดความเครียดซึ่งจะนำมาซึ่งโรคภัยร้ายแรงต่าง ๆ อีกด้วย คุณพ่อในวัยทองควรได้รับการพักผ่อนโดยการนอนหลับมากกว่า 8 ชั่วโมงขึ้นไปจึงจะเหมาะสม

พรุ่งนี้เรามาต่อกันในเรื่องของคุณพ่อในวัยทองกันอีกตอนนะครับ การดูแลเอาใจใส่คุณพ่อวัยทองของลูกๆ และภรรยามีความสำคัญมากนะครับ ควรหากิจกรรมให้ท่านทำเพื่อคลายเหงา และพาท่านออกไปรับประทานอาหารนอกบ้านบ้างในบางโอกาสและอาหารที่พาท่านไปรับประทานควรเป็นอาหารคลีน (Clean Food) หรืออาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายของคุณพ่อด้วยนะครับขอบคุณครับ

วันอาทิตย์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2558

Dcleanfood.com : อาหารบำรุงของคุณพ่อวัยทำงาน

วันนี้ยังอยู่ในช่วงควันหลงงานวันพ่อแห่งชาตินะครับ วันนี้เราจะมาพูดถึงอาหารที่เหมาะกับคุณพ่อวัยทำงาน พวกเราคงคุ้นเคยภาพคุณพ่อของเราตอนทำงานหนักเพื่อหาเลี้ยงครอบครัวและทำให้ครอบครัวมีความสุขกันอยู่แล้วนะครับ แต่หากท่านใดไม่เคยเห็นภาพนั้น พวกท่านก็คงคุ้นเคยกับภาพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพ่อของแผ่นดิน ที่ทรงงานหนักเพื่อความเป็นสุขของพสกนิกรชาวไทยกันเป็นอย่างดี หากเรามีโอกาสตอบแทนคุณพ่อวัยทำงานของเรา ทำได้ง่ายๆโดยหาอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายคุณพ่อวัยทำงานรับประทาน เพื่อให้คุณพ่อแข็งแรงและอยู่กับเราไปได้นานๆครับจากบทความตอนที่แล้วอาหารที่ดีที่สุดของคุณพ่อวัยทำงานคืออาหารที่ไม่มีไขมันและไม่ใช้สารเคมีในการปรุงแต่งอย่างอาหารคลีน (Clean Food) และเสริมด้วยอาหารที่จำเป็นอย่างโปรตีน และสารต้านอนุมูลอิสระ ที่ช่วยซ่อมแซมและเสริมสร้างกล้ามเนื้อ กระดูกและอวัยวะต่าง ๆในร่างกาย และสารต้านอนุมูลอิสระซึ่งช่วยในการชะลอความเสื่อมของอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายและช่วยป้องกันการเกิดโรคร้ายในวัยทำงานเช่น โรคมะเร็งต่าง ๆ เป็นต้น ต่อไปเรามาทราบถึงข้อควรประปฏิบัติและอาหารสำหรับคนวัยทำงานกันเลยครับ


ข้อควรปฏิบัติและอาหารสำหรับคุณพ่อวัยทำงาน

- ลด ละ เลิกเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ คุณพ่อวัยทำงานหลายท่านต้องมีการสังสรรค์ และต้องไปงานเลี้ยงต่าง ๆ อยู่บ่อยครั้ง และอาจจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณที่เหมาะสมคือ 1-2 แก้วในวัยทำงานจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อร่างกายบ้าง แต่การรับประทานเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากเกินความจำเป็นจะก่อให้เกิดโทษกับคุณพ่อวัยทำงานเป็นอย่างมาก เพราะร่างกายของคนวัยทำงานมีความอ่อนล้าเนื่องจากต้องทำงานวันละมากกว่า 8 ชั่วโมงกันอยู่แล้ว ยิ่งดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เข้าไปอีก จะมีผลร้ายต่อร่างกายทำให้ร่างกายไม่สามารถดูดซับวิตามินและเกลือแร่สู่ร่างกาย และมีอันตรายต่อตับของคุณพ่อวัยทำงานอย่างมาก

- รับประทานอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่ในปริมาณที่พอเหมาะ เพื่อควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม การรับประทานอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่ของคุณพ่อวัยทำงานจะทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่ต้องการอย่างครบถ้วน แต่ต้องรับประทานอาหารอย่างพอดี ไม่รับประทานพวกไขมันโดยเฉพาะไขมันไม่อิ่มตัวมากจนเกินไปเพราะคุณพ่อในวัยทำงานส่วนใหญ่ขาดการออกกำลังกายที่เหมาะสม และร่างกายก็มีความเสื่อมสภาพพอสมควร ทำให้ระบบเผาผลาญในร่างกายไม่ดีเท่าที่ควร อาจจะทำให้คุณพ่อวัยทำงานเกิดภาวะโรคอ้วนจนนำไปสู่โรคต่าง ๆ ได้ในอนาคต เช่นโรคหลอดเลือดหัวใจ โรคเบาหวาน และโรคความดันโลหิตสูงเป็นต้น

- รับประทานอาหารบำรุงสมอง จำพวกโปรตีนและเนื้อปลาทะเล หรืออาหารทะเลที่มีกรดไขมันโอเมก้า 3 คุณพ่อวัยทำงานหลายท่านต้องใช้สมองอย่างหนักแทบทุกวัน วันละเกินกว่า 8 ชั่วโมง ทำให้สมองเกิดอาการล้าและเสื่อมโทรมอย่างรวดเร็ว ดังนั้นคุณพ่อวัยทำงานควรได้รับอาหารที่ช่วยในการบำรุงสมองเป็นอย่างมาก อาหารที่ช่วยบำรุงและป้องกันการเสื่อมถอยของสมองได้เป็นอย่างดีได้แก่อาหารจำพวกโปรตีนทั้งจากเนื้อสัตว์และธัญพืชพืชตระกูลถั่วต่าง ๆ เพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอไปจากการใช้งานสมองอย่างหนัก และการรับประทานอาหารจำพวกเนื้อปลาและอาหารทะเลอื่น ๆ ที่มีกรดไขมันโอเมก้า 3 อาหารจำพวกนี้และกรดไขมันโอเมก้า 3 มีประโยชน์มากในการบำรุงระบบประสาทและสมองให้การทำงาน ของระบบประสาทและสมองทำงานได้ดีขึ้น

- รับประทานพืชผักและผลไม้ในปริมาณที่มากขึ้น พืชผักและผลไม้มีประโยชน์อย่างมากกับร่างกายของคุณพ่อวัยทำงาน เพราะในพืชผักและผลไม้มีใยอาหารที่ช่วยในระบบขับถ่าย ช่วยไม่ให้เกิดโรคเกี่ยวกับทางเดินอาหารเนื่องจากมีอาหารตกค้างในระบบทางเดินอาหารนานจนเกินไป นอกจากนี้พืชผักและผลไม้ยังมีวิตามินและเกลือแร่ต่างๆ ที่ร่างกายของคุณพ่อวัยทำงานต้องการเป็นอย่างมาก คุณพ่อวัยทำงานควรรับประทานอาหารที่ให้วิตามินและเกลือแร่จากพืชผ้กและผลไม้โดยตรง มากกว่าการรับประทานจากยาเม็ดหรือสารสกัดที่ให้วิตามินชนิดต่าง ๆ เพราะการรับประทานอาหารจำพวกนี้ทำให้ไตของคุณพ่อวัยทำงานทำงานหนักจนเกินไป

ทราบถึงข้อปฏิบัติและอาหารสำหรับคุณพ่อในวัยทำงานกันไปแล้วนะครับ พรุ่งนี้เราจะมาต่อกันให้จบในเรื่องของอาหารของคุณพ่อวัยทำงาน วันนี้ยังอยู่ในช่วงวันหยุดถ้าใครพอมีเวลาก็พาคุณพ่อไปเที่ยวหรือไปรับประทานอาหารกันนะครับ ถ้าเป็นอาหารควรเลือกร้านอาหารที่มีเมนูสุขภาพอย่างอาหารจำพวกอาหารคลีน (Clean Food) อยู่ด้วยนะครับและอย่าให้คุณพ่อดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากจนเกินไปนะครับ เพราะจะทำให้เสียสุขภาพได้ สุขสันต์วันพ่อนะครับทุกท่าน ขอบคุณครับ

วันเสาร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2558

Dcleanfood.com : อาหารสำหรับคุณพ่อ

เมื่อวานพึ่งผ่านวันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคม ซึ่งเป็นวันสำคัญของคนไทยทั้งชาติกันไปนะครับ วันนี้เราจะมาพูดถึงอาหารสำหรับคุณพ่อหรือคนวัยทำงานและคนวัยทองกันครับ สำหรับคุณพ่อวัยทำงานเป็นช่วงวัยที่ความแข็งแรงของร่างกายทั้งในส่วนของกล้ามเนื้อและกระดูกเริ่มมีการถดถอยและเสื่อมลงไป คุณพ่อที่อยู่ในวัยทำงานจึงต้องรับประทานอาหารที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับร่างกาย และอาหารที่ช่วยชะลอความเสื่อมของกล้ามเนื้อ กระดูกและอวัยวะต่าง ๆ ภายในร่างกาย คุณพ่อในวัยทำงานควรเน้นรับประทานอาหารประเภทโปรตีน แต่ไม่ควรรับประทานอาหารในปริมาณที่มากเกินไป คุณพ่อวัยนี้รับประทานอาหารคลีน (Clean Food)ในแต่ละวัน และรับประทานโปรตีนจากนมหรือไข่เสริมเข้าไปก็พอเพียงต่อความต้องการครับ แต่คุณพ่อวัยทำงานต้องมีการออกกำลังกาย และการพักผ่อนที่เพียงพอ มิฉะนั้นความเสื่อมของร่างกายจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว


สำหรับคุณพ่อที่อยู่ในวัยทอง คุณพ่อที่อยู่ในวัยนี้จะเป็นวัยที่ร่างกายมีความเสื่อมถอยลงไปจากวัยรุ่นและวัยทำงานค่อนข้างมาก และการทำงานของฮอร์โมนต่างๆ รวมถึงฮอร์โมนเพศทำงานน้อยลง ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางร่างกายและโดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปลี่ยนแปลงทางจิตใจและอารมณ์ ซึ่งเราคงเคยได้ยินคำกล่าวถึงอารมณ์ของคนวัยทองว่ามีความปรวนแปรและเข้าใจได้ยาก ซึ่งคุณพ่อในวัยนี้อาจมีการแสดงออกทางอารมณ์ที่ผิดปกติไป คุณลูกหรือผู้ที่เกี่ยวข้องควรทำความเข้าใจและดูแลท่านอย่างใกล้ชิดนะครับ คุณพ่อในวัยทองร่างกายจะมีความเสื่อมโทรมลงไปมาก ซึ่งส่งผลให้โรคภัยต่าง ๆ เข้ามาทำอันตรายได้ง่าย โดยเฉพาะโรคเกี่ยวกับทางเดินอาหาร หลอดเลือดหัวใจ คุณพ่อในวัยทองจึงควรรับประทานอาหารที่ย่อยง่าย ไม่รับประทานเนื้อสัตว์ที่ใช้เวลาในการย่อยมากเกินไป เพื่อไม่ให้อาหารตกค้างอยู่ในระบบทางเดินอาหารมากจนเกินไป จนเกิดโรคต่าง ๆ ภายในระบบทางเดินอาหาร และคุณพ่อในวัยทองควรงดรับประทานไขมันอิ่มตัวโดยเด็ดขาด เพราะไขมันอิ่มตัวจะเป็นตัวเพิ่มระดับคอเลสเตอรอล ซึ่งจะเข้าไปเกาะในผนังหลอดเลือดทำให้เกิดโรคเกี่ยวกับหลอดเลือดเช่น โรคหัวใจหรือโรคความดันโลหิตสูง

อาหารคลีน (Clean Food) คืออาหารที่เหมาะสมกับทั้งคุณพ่อในวัยทองและวัยทำงานเป็นอย่างมากครับ เพราะอาหารคลีน (Clean Food) มีสารต้านอนุมูลอิสระอยู่เป็นจำนวนมาก ไม่มีไขมันอิ่มตัว และเนื้อสัตว์หรือโปรตีนที่ใช้เวลาในการย่อยมากเกินไป แต่คุณพ่อในวัยทำงานและคุณพ่อในวัยทองต้องการโปรตีนเข้าสู่ร่างกายเป็นอย่างมากเพราะโปรตีนมีส่วนสำคัญมากในการช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและกระดูก และช่วยชะลอการเสื่อมสภาพของอวัยวะต่าง ๆ รวมถึงกระดูกและกล้ามเนื้อ คุณลูกและคุณแม่คงพอทราบกันบ้างแล้วนะครับถึงความเปลี่ยนแปลงของร่างกาย และอาหารที่คุณพ่อวัยทองและวัยทำงานควรรับประทานในแต่ละวัน แต่คุณลูกและคุณแม่ควรดูแลคุณพ่อโดยการให้ความรักความเอาใจใส่ และทำความเข้าใจถึงความเปลี่ยนแปลงทางด้านอารมณ์ของคุณพ่อกันด้วยนะครับ การรักคุณพ่อควรแสดงออกทุกวันนะครับ ไม่ใช่แสดงออกในวาระสำคัญในวันพ่อแห่งชาตินี้เท่านั้น

ในวันพรุ่งนี้เรามายังอยู่ในช่วงการเฉลิมฉลองวันพ่อแห่งชาติกันต่อนะครับ โดยเราจะมาพูดถึงอาหารสำหรับคุณพ่อกันอย่างละเอียดครับว่ามีอาหารชนิดใดและมีเมนูใด ๆ บ้าง รบกวนติดตามกันด้วยนะครับ ขอบคุุณครับ

วันศุกร์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2558

Dcleanfood.com : สวย,หล่อใสเด้งด้วย 'คอลลาเจน' จากอาหารธรรมชาติ ตอบจบ

จากบทความที่แล้วเราทราบถึงอันดับ 1-5 ของอาหารที่มีคอลลาเจนซึ่งเป็นสารที่ช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยบนผิวหนังของเรา ช่วยให้ผิวหน้าและผิวกายมีความชุ่มชื้น ดูสุขภาพดี อาหารเหล่านี้อาจจะมีไขมันอยู่บ้าง อาจจะไม่ตรงตามหลักของ อาหารคลีน (Clean Food) สักเท่าไร แต่ถ้าเรารับประทานในปริมาณที่เหมาะสม และรับประทานอาหารจำพวกผักและผลไม้ที่มีหรือช่วยสร้างคอลลาเจนได้ก็จะดีที่สุดครับ ตอนนี้เรามาต่อกันที่อันดับ 6-10 อาหารที่อุดมไปด้วยคอลลาเจนกันต่อเลยครับ


อันดับที่ 6. ไข่ขาว ในไข่ขาวเป็นแหล่งโปรตีนและแหล่งสะสมของกรดอะมิโนโปรลีน ซึ่งอะมิโนโปรลีนจะเป็นโปรตีนที่มีความสำคัญที่เป็นส่วนประกอบสำคัญของเส้นใยคอลลาเจน เมื่อเรารับประทานไข่ขาวเข้าไปและร่างกายได้รับโปรตีนและกรดอะมิโนโปรลีนจากไข่ขาว กรดอะมิโนโปรลีนนี้จะเข้าไปช่วยให้คอลลาเจนในร่างกายของเรามีความแข็งแรงและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และสูญสลายไปได้ยากยิ่งขึ้น

อันดับที่ 7. สาหร่ายทะเล ในสาหร่ายทะเลมีสารที่ชื่อไฮยาลูโรนิกซึ่งเป็นสารที่มีความสำคัญในการสร้างเส้นใยของคอลลาเจน ทำให้ในสาหร่ายทะเลอุดมไปด้วยคอลลาเจนเนื่องจากมีสารไฮยาลูโรนิกช่วยในการเพิ่มปริมาณของคอลลาเจน สังเกตได้จากผิวของสาหร่ายทะเลจะมีความลื่นและความชุ่มชื้นมาก

อันดับที่ 8. เอ็นข้อต่อและกระดูกอ่อนของสัตว์ ในเอ็นข้อต่อและกระดูกอ่อนของสัตว์ทั้งไก่, หมู และสัตว์อื่น ๆ จะมีคอลลาเจนปะปนอยู่ เนื่องจากในกระดูกอ่อนและเอ็นข้อต่อของสัตว์จะมีโปรตีนที่มีส่วนผสมของคอลลาเจนอยู่เป็นจำนวนมาก ดังนั้นการรับประทานเอ็นหรือกระดูกอ่อนของสัตว์ ก็สามารถช่วยเพิ่มคอลลาเจนให้กับร่างกายได้เป็นอย่างดี

อันดับที่ 9. กระเทียม ภายในกระเทียมมีสารซัลเฟอร์เป็นส่วนประกอบสำคัญอยู่ในปริมาณมาก และนอกจากนี้ในกระเทียมยังมีกรดไลโปอิกและกรดอะมิโนทอรีน ซึ่งมีส่วนสำคัญในการช่วยเสริมสร้างเส้นใหญ่คอลลาเจนที่ได้รับความเสียหายหรือถูกทำลายไป

อันดับที่ 10. แตงกวา เราจะสังเกตได้ว่าในเนื้อของแตงกวาจะมีเมือกหรือความชุ่มชื้นอยู่มากกว่าพืชผักชนิดอื่น ๆ เนื่องจากในแตงกวาอุดมไปด้วยสารซัลเฟอร์ ซึ่งตามที่กล่าวไว้แล้วข้างต้นว่าเป็นสารอาหารสำคัญที่ช่วยในการสร้างคอลลาเจน นอกจากนี้วิตามินเอในแตงกวา ยังมีส่วนในการรักษาความชุ่มชื้นของคอลลาเจนในร่างกายให้อยู่ในระดับที่สูงอยู่ตลอดเวลา

ครบเรียบร้อยแล้วนะครับสำหรับ 10 อันดับอาหารที่อุดมไปด้วยคอลลาเจน อาหารที่ให้คอลลาเจนเหล่านี้ส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมดเป็นอาหารที่มีราคาไม่แพง และหาซื้อได้ตามท้องตลาด และที่สำคัญควรเลือกรับประทานอาหารเหล่านี้ด้วยวิธีการของ อาหารคลีน (Clean Food) คือไม่ผ่านการปรุงแต่งมากนะครับ เพราะเราจะได้รับสารคอลลาเจนจากอาหารเหล่านี้อย่างเต็มที่