วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

Dcleanfood.com : กินอย่างไร ให้สมองดี

อาหารที่เรารับประทานเข้าไปมีผลกับอวัยวะต่าง ๆ ภายในร่างกายของเราแทบทุกส่วน และอวัยวะที่สำคัญลำดับต้น ๆ และมีการทำงานที่ค่อนข้างสลับซับซ้อนและใช้งานมากที่สุดในแต่ละวัน อวัยวะส่วนนั้นคือสมอง ซึ่งสมองของเราต้องใช้งานในเรื่องของการคิดการวิเคราะห์และให้เหตุผลต่าง ๆ ,ในเรื่องของความจำการจดจำสิ่งต่าง ๆ ที่เคยได้สัมผัสมาผ่านทางการได้ยิน,การมองเห็น หรือการสัมผัสด้วยร่างกาย และยังใช้งานเพื่อสั่งการอวัยวะส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย ซึ่งการทำงานหนักอยู่ตลอดเวลาของสมองนั้น ทำให้เกิดความเหนื่อยล้า และนำไปสู่ความเสื่อมถอย และลดประสิทธิภาพลงของสมอง ดังนั้นเราควรมีการบำรุงสมอง เพื่อลดความอ่อนล้าและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสมอง ซึ่งวิธีการที่ง่ายที่สุดในการบำรุงสมองคือ การเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อสมองของเรานั่นเอง เราลองมาดูกันนะครับว่าอาหารประเภทไหนบ้างที่มีประโยชน์ต่อสมองของเรา และมีส่วนผสมของ อาหารคลีน (Clean Food) ชนิดไหนบ้างที่มีส่วนช่วยในการทำงานของสมองของเรา


โดยปกติสมองของเราต้องการสารอาหารจากทั้ง 5 หมู่ ทั้ง โปรตีน, คาร์โบไฮเดรต, ไขมัน, วิตามินและเกลือแร่ ดังนั้นการจะให้สมองได้รับประโยชน์อย่างแท้จริงคือการรับประทานอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่ แต่ก็มีอาหารบางประเภทที่มีส่วนสำคัญในการบำรุงสมองเราลองมาดูกันว่าอาหารบำรุงสมองมีอะไรกันบ้างครับ

1.ปลาทะเลจากธรรมชาติ
ในปลาทะเล จะมีประมาณโอเมก้า 3 อยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งโอเมก้า 3 นี่เองเป็นสารอาหารที่ช่วยในการบำรุงสมองได้ดีมาก และยังช่วยเรื่องการทำงานของสมองโดยช่วยในเรื่องของการชะลอความเสื่อมของระบบประสาทส่วนกลาง ช่วยให้ระบบความจำของเรามีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และนอกจากนี้กรดไขมัน DHA ที่อยู่ในกรดไขมัน โอเมก้า3 เป็นกรดไขมันที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาและบำรุงเซลส์สมองของเราเป็นอย่างมาก

2. ไข่ไก่
ในไข่ไก่นอกจากจะมีโปรตีนที่มีส่วนช่วยในการบำรุงสมองและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอเนื่องจากการใช้งานสมองแล้ว ในไข่ไก่ยังมีกรดไขมันโอเมก้า 3 ซึ่งมีส่วนช่วยในการบำรุงสมอง และช่วยชะลอความเสื่อมของระบบประสาทส่วนกลางอีกด้วย

3. น้ำมันที่ได้จากกรดไขมันไม่อิ่มตัว เช่นน้ำมันมะกอก, น้ำมันดอกทานตะวัน
ในสมองของคนเรามีไขมันเป็นส่วนประกอบมากกว่า 60% ทำให้มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่สมองจะต้องการไขมัน และการรับประทานไขมันต้องเป็นไขมันที่ดีที่ได้จากกรดไขมันไม่อิ่มตัว เพราะจะช่วยให้เรามีสมองที่ปลอดโปร่ง ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการจดจำ

4. ทับทิม
ในทับทิมสดมีสารต้านอนุมูลอิสระ อยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งสารต้านอนุมูลอิสระนี้มีความสำคัญอย่างมากสำหรับการบำรุงสมอง เพราะสมองของเราเป็นส่วนที่เกิดความเครียดได้ง่าย เนื่องจากเรามีการใช้งานสมองอยู่ตลอดเวลาซึ่งสารอาหารในทับทิมจะมีส่วนช่วยในการผ่อนคลายความเครียดของอวัยวะต่าง และสมองได้เป็นอย่างดีที่สุด

5. ข้าวหรือแป้งที่ไม่ผ่านการขัดสี
ข้าวหรือแป้งที่ไม่ผ่านกระบวนการขัดสีจะมีค่าดัชนีน้ำตาลอยู่ในเกณฑ์ที่ค่อนข้างต่ำมาก และคาร์โบไฮเดรตเหล่านี้มีส่วนอย่างมากในการช่วยให้หลอดเลือดและระบบการไหลเวียนโลหิตภายในร่างกายของเราแข็งแรงขึ้น เมื่อเรามีหลอดเลือดที่แข็งแรงและระบบไหลเวียนโลหิตที่ดีมากเท่าไหร่ประสิทธิภาพในการสูบฉีดโลหิตขึ้นไปเลี้ยงสมองก็จะยิ่งมีประสิทธิภาพดีขึ้นตามไปด้วย

ในบทความนี้เราทราบถึงอาหาร 5 ชนิดที่มีส่วนสำคัญในการช่วยบำรุงสมองกันไปแล้วนะครับ โดยอาหารทั้ง 5 ชนิดนี้เป็นส่วนประกอบสำคัญของ อาหารคลีน (Clean Food) แทบทั้งสิ้น และพรุ่งนี้เรามาต่อกันที่อันดับ 6-10 ของอาหารบำรุงสมองกันครับ

วันอาทิตย์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

Dcleanfood.com : ข้อควรปฏิบัติและข้อควรยกเว้น เมื่อเป็นโรคกระเพาะ

วันนี้เป็นตอนต่อเนื่องของเรื่องโรคกระเพาะอาหารครับ เมื่อวานเรากล่าวถึงอาหารที่ควรรับประทานเมื่อเป็นโรคกระเพาะอาหาร ซึ่งอาหารส่วนใหญ่เกือบทั้งหมดจะมีในเมนู ของ อาหารคลีน (Clean Food) วันนี้เราจะมาทำความเข้าใจถึง ข้อควรปฏิบัติและข้อควรยกเว้น เมื่อเรามีภาวะของโรคแผลในกระเพาะอาหารหรือที่เราเรียกกันติดปากว่าโรคกระเพาะอาหารกันครับ


ข้อควรปฏิบัติเมื่อเป็นโรคกระเพาะอาหาร
รับประทานอาหารให้ครบทั้ง 3 มื้อ โดยการรับประทานอาหารให้ครบ 3 มื้อร่างกายจะมีอาหารให้กระเพาะทำการย่อยครบตามเวลาที่เหมาะสม ทำให้น้ำย่อยที่ผลิตออกมาถูกใช้งานในการย่อยอาหาร ไม่เหลือพอที่จะไปทำร้ายผนังลำไส้ให้เกิดเป็นแผลได้

รับประทานอาหารให้ตรงเวลาเป็นประจำทุกวัน การที่เรารับประทานอาหารตรงเวลาในทุก ๆ วัน เป็นการฝึกให้ร่างกายเราหลั่งน้ำย่อยออกมาในเวลาที่เหมาะสม และหากเราไม่รับประทานอาหารให้ตรงเวลาตามที่เรารับประทานในแต่ละวันแล้ว น้ำย่อยก็ไม่ถูกใช้งานในการย่อยอาหาร แต่จะไปย่อยหรือทำลายผนังของระบบทางเดินอาหารแทน

รับประทานอาหารแต่พอดี ไม่มากเกินไป หรือน้อยเกินไป เพื่อไม่ให้น้ำย่อยที่ผลิตออกมามากหรือน้อยจนเกินไป จนเป็นอันตรายต่อร่างกายของเราได้

เคี้ยวอาหารให้ละเอียด ไม่ทานอาหารด้วยความรีบเร่งจนเกินไป การรับประทานอาหารด้วยความรีบเร่งนั้นส่งผลให้เรามีเวลาในการเคี้ยวอาหารน้อยทำให้อาหารไม่ละเอียดเมื่อเข้าสู่กระเพาะอาหารทำให้กระเพาะต้องใช้น้ำย่อยและเวลาในการย่อยมากเกินกว่าปกติ ซึ่งอาจจะก่อให้เกิดอันตรายหรือแผลในผนังลำไส้ได้

ควรทำใจให้สบาย ไม่เครียด ถึงแม้ความเครียดจะไม่ใช่สาเหตุหลักของการเป็นแผลในกระเพาะอาหาร แต่ความเครียดก็มีส่วนสำคัญในการทำให้โรคกระเพาะอาหารมีความรุนแรงเพิ่มขึ้น เพราะความเครียดจะส่งผลให้แผลในกระเพาะอาหารหายช้า และการทำงานของน้ำย่อยหรือกรดในกระเพาะอาหารผิดปกติไป

ควรสังเกตุตนเอง ว่าอาหารที่เรารับประทานเข้าไปว่าอาหารชนิดใดมีผลต่อระบบย่อยของเราบ้าง เนื่องจากร่างกายของแต่ละคนมีรายละเอียดที่ต่างกัน ทำให้แต่ละคนอาจจะมีปัญหากับอาหารแต่ละอย่างไม่เหมือนกัน เมื่อเราทราบว่าอาหารชนิดไหนทำให้ระบบย่อยของเราทำงานหนักหรือร่างกายเราไม่สามารถย่อยได้ก็ควรจะงดหรือหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารชนิดนั้น

ข้อควรยกเว้น เมื่อเป็นโรคกระเพาะอาหาร
งดรับประทานอาหารรสจัด เช่นอาหารที่มีรสเปรี้ยวจัด, หวานจัด, หรือเผ็ดจัด เพราะอาหารเหล่านี้เป็นอาหารที่ไปกระตุ้นให้กระเพาะอาหารของเราผลิตน้ำย่อยในปริมาณที่มากขึ้น แต่ในภาวะที่แผลในกระเพาะอาหารของเรายังไม่หาย การผลิตน้ำย่อยออกมาในปริมาณมากจะทำให้อาการของโรคกระเพาะอาหารยิ่งแย่ลงไปอีก

งดรับประทานกาแฟ อาหาร หรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เนื่องจากคาเฟอีนจะมีฤทธิ์ในการตุ้นการสร้างน้ำย่อยในกระเพาะอาหารเช่นเดียวกับอาหารรสจัด และคาเฟอีนยังมีผลทำให้การทำงานของระบบย่อยอาหารมีความผิดปกติส่งผลให้แผลในกระเพาะอาหารมีอาการที่รุนแรงขึ้นได้

งดหรือหลีกเลี่ยงการดื่มนม ในกรณีที่ของผู้มีปัญหาในการย่อยน้ำตาลแลคโตสในนม เพราะอาจส่งผลให้มีอาการท้องอืด ปวดท้อง หรือท้องเสียอย่างรุนแรงได้ อาการเหล่านี้ส่งผลเสียโดยตรงกับกระเพาะอาหารและแผลในกระเพาะอาหาร

งดหรือหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด เนื่องจากเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ส่งผลให้เกิดการระคายเคืองในเยื่อบุของระบบทางเดินอาหาร

งดหรือหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ เนื่องจากสารในบุหรี่ส่งผลให้แผลในกระเพาะอาหารมีอาการแย่ลง และแผลหายช้าลง ทำให้แผลเป็นแผลในกระเพาะเรื้อรังไม่สามารถหายขาดหรืออาการดีขึ้นได้

โรคกระเพาะอาหารเป็นโรคที่อยู่คู่คนไทยในยุคปัจจุบันเนื่องจากมีวิถีชีวิตที่รีบเร่ง และไม่รับประทานอาหารตรงเวลา หรือรับประทานอาหารรสจัดที่ไม่มีประโยชน์ ทางออกที่ดีที่สุดจึงไม่ใช่การเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์อย่างอาหารมังสวิรัติ หรือ อาหารคลีน (Clean Food) แต่เพียงอย่างเดียวแต่เรายังต้องเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคให้ถูกต้อง โดยรับประทานอาหารครบ 3 มื้อและรับประทานอาหารให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายด้วยครับ

วันเสาร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

Dcleanfood.com : กินอะไรดี เมื่อเป็นโรคกระเพาะถามหา

ต่อจากตอนที่แล้ว ที่เรากล่าวถึงโรคกระเพาะอาหาร หรือชื่อที่แท้จริงคือโรคแผลในกระเพาะอาหาร ซึ่งเกิดจากน้ำย่อยในกระเพาะอาหารไปสัมผัสกับส่วนต่าง ๆ ในระบบทางเดินอาหารทำให้เกิดบาดแผล วิธีการป้องกันโรคกระเพาะอาหารนั้้นสามารถปฏิบัติได้ง่าย ๆ โดยการรับประทานอาหารให้ครบ 3 มื้อและรับประทานอาหารให้ตรงเวลา เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำย่อยในกระเพาะอาหารที่ผลิตออกมาย่อยทางเดินอาหารเสียเอง และในการเลือกรับประทานอาหารควรเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ไม่รับประทานอาหารที่มีกรดมากเกินไป โดยสามารถเลือกรับประทานอาหารสุขภาพเช่น อาหารคลีน (Clean Food) ร่างกายก็จะได้รับสารอาหารที่พอเพียงไม่มากไม่น้อยจนเกินไป


เมื่อเราเป็นโรคแผลในกระเพาะอาหารแล้วมักจะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ โดยหากเรามีอาการดีขึ้นแล้วแต่กลับไปทำพฤติกรรมการรับประทานอาหารที่ผิดแบบเดิมๆ โรคกระเพาะอาหารก็จะกลับมาสร้างความเจ็บปวดให้เราอีกอย่างแน่นอน วันนี้เราจะมาพูดถึงวิธีการปฏิบัติตนและวิธีการรับประทานอาหารเมื่อเป็นโรคกระเพาะอาหารกันครับ

อาหารต้านโรคกระเพาะ
1. ผักและผลไม้ที่มีเบตาแคโรทีนสูง ผักและผลไม้ที่มีเบตาแคโรทีนได้แก่ แครอท ฟักทอง แคนตาลูป ผักและผลไม้เหล่านี้จะช่วยทำให้แผลหายเร็วขึ้นทั้งแผลในกระเพาะอาหารและแผลในส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย สารจำพวกเบตาแคโรทีนยังช่วยป้องกันหรือเคลือบเยื่อบุกระพาะอาหารและลำไส้ ไม่ให้เกิดอันตรายจากน้ำย่อยในกระเพาะอาหารได้ง่ายอีกด้วย และนอกจากนั้นในผลไม้ยังมีวิตามินซี ที่ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง เพิ่มเกราะป้องกันการติดเชื้อต่าง ๆ ของร่างกายและวิตามิน ซียังมีส่วนอย่างมากในการช่วยให้แผลหายเร็วยิ่งขึ้นอีกด้วย

2. ไขมัน (ไขมันไม่อิ่มตัว) ไขมันไม่อิ่มตัวที่ได้จากธัญพืช และพืชตระกูลถั่วต่าง ๆ เช่น น้ำมันรำข้าว น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันถั่วเหลืองและอื่น ๆ โดยประโยชน์จากไขมันไม่อิ่มตัวจะมีส่วนช่วยในเรื่องของระบบการย่อยอาหารโดยเฉพาะในส่วนของกระเพาะอาหาร และระบบการเผาผลาญอื่นๆ ในร่างกายและไขมันไม่อิ่มตัวนี้ ยังสามารถเคลือบเยื่อบุกระเพาะอาหารไม่ให้ถูกทำร้ายโดยน้ำย่อยได้ง่ายอีกด้วย

3. โปรตีนจากเนื้อปลาหรือจากพิชตระกูลถั่ว โปรตีนที่ได้จากเนื้อปลาและโปรตีนที่ได้จากพืชตระกูลถั่วนั้นถือว่าเป็นโปรตีนที่ดีและมีประโยชน์ต่อร่างกายเป็นอย่างมาก เพราะร่างกายสามารถทำการย่อยสลายและนำพลังงานไปใช้ได้อย่างรวดเร็ว ต่างจากโปรตีนที่ได้จากเนื้อสัตว์ประเภทอิ่นซึ่งต้องใช้ระยะเวลาในการย่อยค่อนข้างมากทำให้ร่างกายเราต้องผลิตน้ำย่อยออกมาเป็นจำนวนมากเพื่อช่วยในการย่อยโปรตีนเหล่านี้ และโปรตีนในเนื้อปลายังมีกรดอะมิโนและกรดไขมันที่มีประโยชน์ต่อร่างกายช่วยให้ร่างกายและกระเพาะอาหารแข็งแรงและทำงานได้ดีขึ้น

4. แป้งหรือคาร์โบไฮเดรตที่ไม่ผ่านการขัดสี ข้าวหรือแป้งสาลีที่ไม่ผ่านการขัดสีจะมีกากใยอาหารและวิตามินอยู่ในปริมาณที่สูงมาก ๆ ซึ่งส่งผลดีโดยตรงกับกระเพาะอาหาร, ระบบทางเดินอาหารและระบบการย่อยอาหารของเรา โดยช่วยให้กระเพาะไม่ต้องทำงานหนักและผลิตน้ำย่อยมากเกินไปในการย่อยอาหาร และคาร์โบไฮเดรตหรือแป้งที่ไม่ผ่านการขัดสีเหล่านี้ยังช่วยบำรุงกระเพาะอาหารของเราไปได้พร้อม ๆ กันอีกด้วย

5. มะเขือเทศ มะเขือเทศเป็นแหล่งวิตามินที่อุดมสมบูรณ์เป็นอย่างมาก เช่น วิตามินอี วิตามินซี และโพแทสเซียม ซึ่งมีส่วนช่วยให้แผลในกระเพาะอาหารหายเร็วมากยิ่งขึ้น

6.คะน้า คะน้าเป็นผักที่อุดมไปด้วยวิตามิน โดยเฉพาะวิตามินซี นอกจากช่วยบำรุงในเรื่องของสายตาแล้วยังช่วยป้องกันการติดเชื้อในกระเพาะอาหารได้เป็นอย่างดีครับ

ทราบกันไปแล้วนะครับ ในส่วนของอาหารสำหรับผู้ป่วยโรคแผลในกระเพาะอาหาร หรือที่เรามักเรียกกันสั้น ๆ ว่าโรคกระเพาะอาหาร อาหารที่ควรรับประทานส่วนใหญ่ก็ได้แก่อาหารโดยทั่วไป แต่เน้นไปที่ผักและผลไม้เหมือนกับหลักการของ อาหารคลีน (Clean Food) แต่อาหารอย่างเดียวก็ไม่สามารถช่วยให้อาการของโรคกระเพาะอาหารบรรเทาได้อย่างเต็มที่นะครับเราต้องรู้จักสร้างวินัยในการรับประทานอาหารให้กับตนเอง เพื่อให้ร่างกายอยู่ในภาวะสมดุล ไม่มีโรคภัยใด ๆ เกิดขึ้นกับตัวเราน่าจะทางออกที่ดีที่สุดครับ

วันศุกร์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

Dcleanfood.com : โรคกระเพาะ

ปัจจุบันคนไทยเป็นโรคกระเพาะกันมากขึ้นเนื่องจากลักษณะนิสัยในการรับประทานอาหารเปลี่ยนแปลงไป คนไทยในยุคปัจจุบันมักจะรับประทานอาหารที่ไม่มีคุณค่าทางอาหาร, รับประทานอาหารด้วยความรีบเร่ง, ไม่ทานอาหารให้ตรงเวลา, หรือการไม่รับประทานอาหารเช้า ทางแก้ไขหรือทางป้องกันโรคกระเพาะอาหารคือการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการบริโภคหรือรับประทานอาหารของตนเองให้หันกลับมารับประทานอาหารที่มีประโยชน์เช่น อาหารคลีน (Clean Food) ,รับประทานอาหารตรงเวลาและรับประทานอาหารให้ครบทั้ง 3 มื้อก็จะสามารถช่วยป้องกันโรคกระเพาะอาหารได้ครับ


โรคกระเพาะหรือภาษาที่เรียกอย่างเป็นทางการคือโรคแผลในกระเพาะอาหาร เป็นคำจำกัดความที่หมายรวมถึง แผลที่เกิดในบริเวณหลอดอาหารส่วนล่าง, แผลในกระเพาะอาหาร และแผลในสำไส้เล็กส่วนต้น ซึ่งเกิดจากการที่ทางเดินอาหารในส่วนต่างๆ สัมผัสกับน้ำย่อยของกระเพาะอาหาร โดยตำแหน่งที่มักพบบาดแผลบ่อยๆ ได้แก่ส่วนปลายของกระเพาะอาหาร และรอยต่อของกระเพาะอาหารและในส่วนของลำไส้เล็กส่วนต้น อาการของโรคแผลในกระเพาะอาหารหรือที่เรามักเรียกกันอย่างติดปากว่าโรคกระเพาะอาหาร โดยอาการของโรคกระเพาะอาหารนั้นผู้ป่วยจะปวดแสบ หรือจุก แน่นบริเวณเหนือสะดือ หรือบริเวณกลางท้องหรือบริเวณลิ้นปี่ โดยอาจจะเกิดอาการปวดขึ้นได้แบบเฉียบพลันหรือปวดแบบเรื้อรังต่อเนื่อง อาการปวดท้องเรื้อรังเป็นอาการที่มักพบบ่อยมากที่สุดในบรรดาอาการของโรคกระเพาะอาหาร คืออาการปวดท้องจะเป็น ๆ หาย ๆ โดยจะมีอาการปวดต่อเนื่องกันมามากว่า 1-2 เดือน โดยอาการปวดท้องประเภทนี้เมื่อรับประทานอาหารหรือยาลดกรดในกระเพาะอาหารแล้วจะรู้สึกดีขึ้น

อย่างไรก็ตามอาการของโรคแผลในกระเพาะอาหารอาจจะไม่ได้มีแค่อาการปวดท้องเพียงอย่างเดียว โดยผู้ป่วยหลายรายอาจมีอาการอื่น ๆ คือ ถ่ายอุจจาระเป็นสีคล้ำ หรือมีอาการอาเจียนเป็นเลือด หรือการเกิดอาการแสบหน้าอกเนื่องจากกรดในกระเพาะอาหารไหลย้อนเป็นต้นผู้ป่วยโรคแผลในกระเพาะอาหารหากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีอาจเกิดโรคแทรกซ้อนร้ายแรงอื่น ๆ ตามมาได้อีก เช่น ลำไส้หรือกระเพาะทะลุเนื่องจากโดนน้ำย่อยจากกระเพาะอาหารกัดกร่อน และเลือดออกในกระเพาะอาหาร ซึ่งจะเป็นที่มาของอาการอาเจียนเป็นเลือดหรือการถ่ายอุจจาระแล้วมีสีคล้ำ หรืออาการลำไส้ตีบตัน

สรุปแล้วโรคกระเพาะอาหารส่วนใหญ่มักเกิดจากการรับประทานอาหารไม่ตรงเวลา หรือรับประทานอาหารด้วยความรีบเร่ง และไม่รับประทานอาหารเช้า หากเราอยากให้ร่างกายเราแข็งแรงห่างไกลจากโรคกระเพาะอาหารเราควรเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหารของเรา อย่างน้อยให้รับประทานอาหารให้ตรงเวลาและรับประทานอาหารให้ครบ 3 มื้อ และถ้าเพิ่มการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายและร่างกายสามารถดูดซึมนำไปใช้งานได้ง่ายอย่างอาหารชีวจิตหรือ อาหารคลีน (Clean Food) ก็จะช่วยให้สุขภาพร่างกายแข็งแรงมากขึ้นด้วยครับ

วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

Dcleanfood.com : โรคที่มากับความอ้วน

จากบทความก่อนหน้านี้ทั้งเรื่องของโรคเบาหวานและโรคความดันโลหิตสูง สาเหตุส่วนใหญ่จะมาจากความอ้วน มีสถิติที่น่าตกใจระบุออกมาว่าประชากรโลกมากกว่า 60% มีภาวะของโรคอ้วนหรือมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคอ้วน คนอ้วนโดยส่วนใหญ่ชอบรับประทานน้ำตาลและอาหารที่มีไขมันในปริมาณมาก เมื่อรับประทานแล้วก็จะเข้าไปสะสมในร่างกายโดยเฉพาะไขมันอิ่มตัวซึ่งเป็นไขมันที่ได้จากการรับประทานไขมันจากสัตว์หากเข้าไปสะสมในร่างกายแล้วจะขจัดออกได้ยาก โรคอ้วนไม่ค่อยจะเกิดขึ้นกับผู้ที่รับประทานอาหารมังสวิรัติ, อาหารเจ หรือ อาหารคลีน (Clean Food) เพราะอาหารเหล่านี้ไม่เน้นรับประทานเนื้อสัตว์ วันนี้เรามาดูโรคต่าง ๆ ที่มากับความอ้วนกันครับ


1. โรคไขข้อเสื่อม คนอ้วนหรือคนที่มีน้ำหนักมากจะก่อให้เกิดผลเสียต่อระบบไขข้อและข้อต่อต่าง ๆ ในร่างกายเป็นอย่างมาก เนื่องจากไขข้อและข้อต่อต่างๆ ในร่างกายต้องรับน้ำหนักมากกว่าเกณฑ์ที่จะรับได้เพราะคนอ้วนมีน้ำหนักตัวมากกว่าคนปกติ โดยผู้ป่วยจะมีอาการปวดตามข้อ ได้แก่อาการปวดเข่า ปวดหลัง ปวดแขน ปวดคอและข้อต่ออื่นๆ ในร่างกาย และนอกจากนี้คนที่อ้วนหรือมีน้ำหนักมากกว่าเกณฑ์ปกติยังมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคเก๊าท์มากกว่าคนที่มีน้ำหนักอยู่ในเกณฑ์ปกติเป็นอย่างมาก

2. หอบหืดและเหนื่อยง่าย มีผลการวิจัยทางการแพทย์ระบุว่าคนที่เป็นโรคอ้วนจะมีปอดจะมีประสิทธิภาพในการทำงานลดลง คนอ้วนจึงมีการหายใจเข้าหรือออกที่ยากลำบากกว่าคนปกติ เนื่องจากไขมันที่สะสมอยู่บริเวณทรวงอกขัดขวางการขยายตัวของทรวงอกเวลาที่หายใจเข้าหรือออก และไขมันที่สะสมอยู่ที่ท้องก็จะทำให้กระบังลมไม่สามารถหย่อนตัวลงมาได้เหมือนปกติ ทำให้คนอ้วนมักจะเหนื่อยง่าย และมีปัญหาค่อนข้างมากในท่านอน เนื่องจากหายใจลำบากและมีอาการหยุดหายใจเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ซึ่งเป็นอันตรายมากหากปล่อยทิ้งไว้

3.โรคหลอดเลือดในสมอง เนื่องจากเลือดไม่สามารถสูบฉีดไปเลี้ยงสมองได้ เนื่องจากความดันโลหิตในร่างกายผิดปกติและไขมันที่เข้าไปอุดตันในเส้นเลือด ซึ่งอาจทำให้เนื้อสมองเสียหายเนื่องจากขาดเลือดซึ่งเป็นอันตรายเป็นอย่างมาก

4. โรคหัวใจและโรคหลอดเลือดหัวใจ เกิดจากไขมันเข้าไปอุดตันในผนังหลอดเลือด ทำให้เลือดไม่สามารถส่งไปเลี้ยงหัวใจได้ ทำให้หัวใจไม่สามารถทำงานได้อย่างปกติ ปัจจัยที่ก่อให้เกิดโรคหัวใจได้แก่ การสูบบุหรี่, โรคความดันโลหิตสูง, การขาดการออกกำลังกายที่เหมาะสม แต่สาเหตุที่สำคัญที่สุดคืออาการของโรคอ้วน อาการของโรคนี้คือ ผู้ป่วยจะมีอาการเหนื่อยง่ายหรือหายใจลำบากและเจ็บหน้าอก

5. โรคเบาหวาน ตามที่เราได้กล่าวมาแล้วในบทความอื่น ๆ ว่าโรคเบาหวานเกิดจากการที่ร่างกายได้รับอินซูลินไม่เพียงพอ ซึ่งอินซูลินจะเป็นตัวเผาผลาญและควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด เมื่อร่างกายขาดอินซูลีนหรือผลิตอินซูลีนได้ไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ร่างกายของเราจะมีระดับน้ำตาลในเลือดสูง เพราะไม่สามารถดึงน้ำตาลไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งก่อให้เกิดโรคแทรกซ้อนอื่นๆอีกมากมายและที่สำคัญผนังหลอดเลือดและหลอดเลือดของเราจะถูกทำลายเนื่องจากอาการของโรคเบาหวาน

6. โรคความดันโลหิตสูง โรคความดันโลหิตสูงสาเหตุสำคัญเกิดจากการที่ไขมันเข้าไปจับตัวในผนังหลอดเลือดทำให้หลอดเลือดแคบลง และไม่สามารถส่งเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างของร่างกายของเราได้อย่างทั่วถึง ทำให้ร่างกายต้องเพิ่มความดันโลหิตให้สูงขึ้น เพื่อส่งเลือดไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้อย่างทั่วถึง ซึ่งโรคความดันโลหิตสูงนี้อาจมีอาการแทรกซ้อนอื่นๆ ตามมาอีกมากมายหลายโรค

ทราบถึงโรคต่าง ๆ ที่มากับความอ้วนกันแล้วนะครับ อย่างที่เราทราบกันคนที่มีน้ำหนักเกินเกณฑ์ปกติหรือคนอ้วนจะมีภาวะเสี่ยงต่อการเป็นโรคต่าง ๆ มากกว่าคนที่มีน้ำหนักตัวอยู่ในเกณฑ์ปกติ ดังนั้นเราควรใส่ใจเรื่องสุขภาพของตัวเราเอง ไม่ปล่อยให้ร่างกายมีน้ำหนักมากกว่าเกณฑ์หรือมีภาวะของโรคอ้วน การป้องกันโรคอ้วนทำได้โดยการออกกำลังกายอย่างเหมาะสม และที่สำคัญคือการเลือกรับประทานอาหารที่ไม่มีไขมันอิ่มตัวจากสัตว์มากเกินไป หรือทางที่ดีที่สุดควรหันมารับประทานอาหารมังสวิรัติ, อาหารเจ หรือ อาหารคลีน (Clean Food) ก็จะมีส่วนช่วยได้เป็นอย่างมากครับ

วันพุธที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

Dcleanfood.com : กินเค็ม สาเหตุของความดันและโรคไต

เกลือถือเป็นส่วนประกอบของอาหารในชีวิตประจำวันของคนมาอย่างยาวนาน การรับประทานเกลือจะทำให้ร่างกายได้รับโซเดียมซึ่งเป็นสารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายแต่ต้องได้รับในปริมาณที่เหมาะสมไม่มากหรือน้อยเกินไปในแต่ละวัน โดยทั่วไปแล้วคนปกติไม่ควรรับประทานเกลือหรือโซเดียมเกินกว่า 2,300 มิลลิกรัม แต่คนไทยส่วนใหญ่มักรับประทานเกลือมากเป็นสองเท่าของปริมาณปกติหรือมากกว่า 4,600 มิลลิกรัมต่อวันซึ่งถือว่าเป็นอันตรายมากต่อร่างกายหากเป็นไปได้เราควรเลือกรับประทานเกลือให้น้อยลงในแต่ละมื้อ หรือเลือกปรุงอาหารตามเมนู อาหารคลีน (Clean Food) ที่ไม่ใช้เกลือในการประกอบอาหารก็จะดีกับร่างกายของเรามากที่สุด


การรับประทานเกลือ,น้ำปลาหรืออาหารที่มีรสเค็มจัด ทำให้ได้รับโซเดียมเข้าสู่ร่างกายในปริมาณที่มากจนเกินไป ซึ่งมีผลทำให้ร่างกายเกิดภาวะของโรคความดันโลหิตสูง และส่งผลกับการรั่วของโปรตีนในปัสสาวะ ก่อให้เกิดผลเสียต่อการทำงานของไตโดยตรง ทำให้เป็นโรคไตได้ในที่สุด

โซเดียมคืออะไร ?
โซเดียม (Sodium) คือเกลือแร่ชนิดหนึ่งที่มีความสำคัญกับและจำเป็นต่อร่างกาย โซเดียมมีหน้าที่ในการควบคุมสมดุลของของเหลวในร่างกาย ช่วยให้การทำงานของระบบกล้ามเนื้อและระบบประสาทเป็นไปอย่างปกติ และยังช่วยควบคุมระดับความดันโลหิตในร่างกายให้อยู่ในภาวะสมดุลไม่สูงหรือต่ำจนเกินไป โดยโซเดียมที่คนไทยมักจะรับประทานกันเป็นประจำได้มาจากเครื่องปรุง 2 ชนิดด้วยกันคือโซเดียมที่ได้จากเกลือแกง และโซเดียมที่ได้รับจากการรับประทานน้ำปลา

การมีโซเดียมในร่างกายสูงจนเกินไปนำไปสู่สาเหตุของการเป็นโรคความดันโลหิตสูงและโรคไต
- โซเดียมกับโรคไต การรับประทานโซเดียมเข้าสู่ร่างกายในปริมาณมากเกินความจำเป็นส่งผลให้เกิดอาการคั่งค้างของเกลือในอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย โดยในผู้ที่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง ไตก็จะสามารถขับเอาเกลือและน้ำที่คั่งค้างอยู่ในร่างกายออกมาได้ แต่หากมีการคั่งค้างของเกลือในอวัยวะต่างๆ เป็นจำนวนมากและเป็นเวลายาวนาน ไตก็อาจต้องทำงานหนักเกินไปจนเกิดความเสียหาย และอาจนำไปสู่ภาวะการเป็นโรคไตเรื้อรังได้ในที่สุด

- โซเดียมกับโรคความดันโลหิตสูง โซเดียมมีส่วนช่วยในการควบคุมความดันโลหิตในร่างกายให้อยู่ในภาวะสมดุล แต่การรับประทานโซเดียมมากจนเกินความต้องการของร่างกาย จะส่งผลให้ความดันโลหิตในร่างกายของเราสูงขึ้น และจะส่งผลเสียเป็นอย่างมากสำหรับผู้สูงอายุ คนอ้วน ผู้ป่วยโรคเบาหวาน และผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง นอกจากนี้โรคความดันโลหิตสูง อาจเป็นสาเหตุให้เกิดโรคแทรกซ้อนได้มากมายหลายโรค เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจและสมอง โรคหัวใจ อาการเส้นเลือดในสมองแตกเป็นต้น

ปัจุบันในประเทศไทยมีผู้ป่วยโรคไตและโรคความดันโลหิตสูงอยู่เป็นจำนวนมากรวมแล้วกว่า 15 ล้านคนสาเหตุสำคัญส่วนหนึ่งมาจากการรับประทานเกลือหรืออาหารรสเค็มที่โซเดียมมากจนเกินไป โรคทั้งสองโรคสามารถควบคุมและป้องกันได้โดยการเปลี่ยนทัศนคติในการรับประทานอาหารของเรา โดยการลดปริมาณการรับประทานทานอาหารที่มีรสเค็มจัด หรือการงดปริมาณการรับประทานเกลือและน้ำปลา เพราะร่างกายของเราสามารถรับโซเดียมจากอาหารประเภทอื่น ๆ เช่นเนื้อสัตว์หรือธัญพืชบางชนิดอยู่แล้วดังนั้นเราหลังจากนี้เราควรรับประทานโซเดียมให้น้อยลง โดยการเลือกทานอาหารบางประเภทที่ไม่ใช้เครื่องปรุงรสในการทำอาหารเช่น อาหารคลีน (Clean Food) แค่นี้เราก็จะห่างไกลจากโรคความดันโลหิตสูงและโรคไตได้แล้วครับ

วันอังคารที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

Dcleanfood.com : น้ำมันหมู ไม่อันตรายอย่างที่คิด

ก่อนที่น้ำมันพืชจะเข้ามาสู่เมืองไทยเมื่อกว่า 30 ปีที่แล้วคนไทยส่วนใหญ่จะใช้น้ำมันหมูในการปรุงอาหาร โดยการนำมันหมูลงในกระทะแล้วทำการเจียวให้ได้เป็นน้ำมันหมูออกมาเพื่อเก็บไว้ใช้ประกอบอาหาร ในแง่ของ อาหารคลีน (Clean Food)อาจจะไม่นิยมนำน้ำมันชนิดต่าง ๆ ทั้งน้ำมันพืชหรือน้ำมันหมูมาใช้ในการปรุงอาหารเพราะถือว่า หากรับประทานน้ำมันมากเกินไปอาจจะทำให้ร่างกายได้รับไขมันมากเกินความจำเป็น แต่การรับประทานน้ำมันหมูก็ไม่ได้มีอันตรายร้ายแรงอย่างที่เราคิด เพราะการรับประทานน้ำมันหมูอย่างต่อเนื่องยาวนานของคนในสมัยก่อนก็ไม่ได้มีหลักฐานว่าน้ำมันหมูก่อให้เกิดโรคหรืออาการป่วยต่าง ๆ มากกว่าการรับประทานน้ำมันพืช


การที่น้ำมันหมูถูกแทนที่โดยน้ำมันพืชเนื่องมาจากมีผลการวิจัยทางการแพทย์ระบุว่า น้ำมันพืชมีองค์ประกอบของกรดไขมันไม่อิ่มตัว ซึ่งเราทราบกันดีว่ามีประโยชน์กว่ากรดไขมันอิ่มตัวในน้ำมันหมู นอกจากนี้น้ำมันหมูยังมีคอเลสเตอรอลสูง ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดภาวะโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดหัวใจ และไขมันไม่อิ่มตัวนี้ยังเป็นสาเหตุของโรคต่าง ๆ ที่อาจตามมาในอนาคต ทั้งโรคความดันโลหิตสูงและโรคอ้วน

แต่ในปัจจุบันมีการตั้งสมมุติฐานและทฤษฏีใหม่ออกมาระบุว่า ความเข้าใจเกี่ยวกับน้ำมันพืชที่เรารับประทานกันแทบจะทุกวันนั้นผิดทั้งหมด เพราะน้้ำมันพืชบรรจุขวดที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบันไม่ใช้น้ำมันที่สกัดจากพืชด้วยวิธีทางธรรมชาติ แต่น้ำมันพืชตามท้องตลาดนั้นเป็นน้ำมันที่ผ่านกระบวนการทางเคมี โดยมีการเติมไฮโดรเจนเพิ่มเติมเข้าไป และทำการฟอกสีน้ำมันให้ดูใสสะอาด แวววาวน่ารับประทาน นอกจากนี้น้ำมันพืชบางชนิดยังมีการแต่งกลิ่นด้วยสารเคมีเพิ่มเติมเข้าไปอีกด้วย ดังนั้นน้ำมันพืชที่ผสมสารเคมีเหล่านี้ เมื่อเข้าสู่ร่างกายของเราก็ไม่ต่างจากการที่เรารับประทานกาวเหนียว ๆ เข้าสู่ระบบทางเดินอาหารและน้ำมันพืชผสมสารเคมีเหล่านี้จะไปเคลือบอวัยวะต่าง ๆ ทั้งกระเพาะ ลำคอ และลำไส้ ทำให้ผนังลำไส้ไม่สามารถทำการดูดซึมสารอาหารที่ผ่านการย่อยเข้าสู่ร่างกายได้ นอกจากนี้ยังมีการวิจัยพบว่าน้ำมันพืชไม่เหมาะกับความร้อนสูงเมื่อน้ำมันพืชได้รับความร้อนสูงน้ำมันพืชจะก่อสารอนุมูลอิสระออกมาซึ่งสารอนุมูลอิสระเป็นอันตรายอย่างมากต่อร่างกาย และยังเป็นสารที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็งประเภทต่าง ๆ อีกด้วย

ในทางตรงกันข้ามน้ำมันหมูมีส่วนประกอบของกรดไขมันอิ่มตัว แต่น้ำมันหมูสามารถละลายในน้ำได้และน้ำมันหมูจะไม่จับตัวกันเป็นไขในร่างกายของเรา น้ำมันหมูจึงไม่มีการตกค้างหรือเคลือบอยู่ในผนังลำไส้เล็ก จึงทำให้ผนังลำไส้เล็กทำงานได้ตามปกติคือสามารถดูดซึมสารอาหารที่ผ่านการย่อยเข้าสู่ร่างกายได้อย่างสะดวก และปริมาณการใช้น้ำมันหมูในการประกอบอาหารแต่ละครั้งยังมีปริมาณน้อยกว่าน้ำมันพืช 50% ตัวอย่างเช่นหากเราใช้น้ำมันพืช 2 ช้อนโต๊ะต่อการทำอาหาร 1 มื้อในขณะเดียวกันหากเปลี่ยนไปใช้น้ำมันหมูเราจะใช้แค่ 1 ช้อนโต๊ะเท่านั้นในการทำอาหารมื้อนั้น

เป็นไงบ้างครับ ทุกท่านคงทราบกันแล้วนะครับว่าน้ำมันหมูอาจจะมีประโยชน์กว่าที่เราคิด และน้ำมันพืชบางชนิดที่ผสมสารเคมีก็อาจจะมีโทษกับร่างกายของเราเป็นอย่างมาก แต่ทางที่ดีที่สุดคือการเลือกปรุงอาหารโดยไม่ใช้น้ำมันเช่นการนึ่งหรือการต้ม และยังมีอีกหลายเมนูของ อาหารคลีน (Clean Food) ที่ไม่ต้องใช้น้ำมันในการประกอบอาหารครับ

วันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

Dcleanfood.com : ประโยชน์ของเนื้อปลาที่เราควรรู้

จากบทความตอนที่แล้วทำให้เราทราบถึงคุณค่าและสารอาหารต่าง ๆ ที่มีอยู่ในเนื้อปลากันไปแล้วนะครับ เนื้อปลาเป็นแหล่งโปรตีนที่ร่างสามารถนำไปใช้ได้อย่างรวดเร็ว จึงเหมาะกับผู้ป่วยและเหมาะในการนำไปทำเมนู อาหารคลีน (Clean Food) หลากหลายเมนูบทความนี้เรามาทราบถึงประโยชน์ที่เราจะได้รับจากการรับประทานเนื้อปลากันต่อเลยครับ


1. ช่วยลดความเครียด : จากผลการวิจัยทางการแพทย์พบว่าทั้งน้ำมันปลาและกรดไขมันโอเมก้า 3 มีส่วนช่วยลดระดับความเครียดในผู้ป่วยจิตเวชหรือโรคประสาท ได้เป็นอย่างดี และยังมีส่วนช่วยให้คนที่มีอารมณ์รุนแรงเช่นโกรธง่ายหรือหงุดหงิดง่าย ให้อารมณ์เย็นลงด้วย

2. ป้องกันภาวะเสี่ยงในการเป็นโรคซึมเศร้า : จากผลการวิจัยทางการแพทย์พบว่า การรับประทานกรดไขมันโอเมก้า-3 ซึ่งเป็นกรดไขมันที่มีความจำเป็นและมีประโยชน์มากต่อสมอง เข้าไปในปริมาณที่เหมาะสมและเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย จะช่วยให้ป้องกันอาการซึมเศร้า หรือสมาธิสั้นได้

3. ป้องกันการเกิดโรคหัวใจ : การรับประทานเนื้อปลาเป็นประจำมีส่วนช่วยป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ และยังสามารถลดความเสี่ยงในการเกิดอาการหัวใจวายเฉียบพลันได้ เพราะไขมันจากเนื้อปลาเป็นไขมันที่ดี รับประทานแล้วไม่เกิดการอุดตันภายในหลอดเลือด นอกจากนี้น้ำมันปลายังช่วยกระตุ้นระบบไหลเวียนโลหิตในร่างกาย
ให้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย

4. ป้องกันการเกิดโรคความจำเสื่อมหรืออัลไซเมอร์ : อาการของโรคความจำเสื่อมหรืออัลไซเมอร์สาเหตุส่วนใหญ่มาจากอาการของโรคความดันโลหิตสูง ทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอส่งผลให้เซลล์ประสาทในสมองถูกทำลายลงไป แต่การรับประทานเนื้อปลาสามารถช่วยได้เนื่องจากเนื้อปลาประกอบไปด้วยกรดไขมันที่มีประโยชน์และมีความจำเป็นต่อร่างกายของเรามากมายหลายชนิด เช่น กรดไขมันโอเมก้า 3 , DHA และอื่นๆ ซึ่งกรดไขมันเหล่านี้
มีส่วนช่วยในการกระตุ้นกระบวนการส่งเลือดไปเลี้ยงสมอง ซึ่งสามารถลดความเสี่ยงในการเกิดโรคความจำเสื่อมหรืออัลไซเมอร์ได้เป็นอย่างดี

5. ช่วยลดอาการไขข้ออักเสบ : จากผลการวิจัยทางการแพทย์ พบว่าน้ำมันปลามีคุณสมบัติช่วยบรรเทาอาการให้กับผู้ป่วยโรคไขข้ออักเสบได้ ทำให้ผู้ป่วยสามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้สะดวกมากขึ้น และช่วยลดการใช้ยาและการผ่าตัดในผู้ป่วยโรคไขข้ออักเสบได้

6. ป้องกันการเกิดโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก : จากผลการวิจัยทางการแพทย์พบว่า เนื้อปลาประกอบด้วยสารเซเลเนียม สารเซเลเนียมเป็นสารที่ช่วยต่อต้านเซลล์เนื้อร้ายหรือเซลล์มะเร็งในร่างกาย โดยเฉพาะมะเร็งต่อมลูกหมาก จึงสามารถสรุปได้ว่าผู้ชายที่รับประทานเนื้อปลาเป็นประจำ
จะช่วยป้องกันการเป็นโรคมะเร็งต่อมลูกหมากได้ดีกว่าผู้ชายที่รับประทานเนื้อสัตว์ประเภทอื่น

7. เพิ่มความชุ่มชื่นให้ผิวพรรณ : คอลลาเจนในเนื้อปลามีส่วนช่วยให้ผิวของร่างกายภายนอกชุ่มชื้นแลดูสดใสอ่อนกว่าวัยมากขึ้นด้วย นอกจากจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวแล้วยังสามารถช่วยรบรอยเหี่ยวย่นหรือริ้วรอยแก่กว่าวัย ทำให้ดูอ่อยเยาว์ลงได้

เห็นประโยชน์จากการรับประทานเนื้อปลากันแล้วนะครับ และการที่เราจะได้ประโยชน์สูงสุดจากเนื้อปลาเราควรรับประทานเนื้อปลาที่มีความสด สะอาด และผ่านการปรุงน้อยที่สุด โดยเราอาจจะเปิดตำรา อาหารคลีน (Clean Food) แล้วหาเมนูเนื้อปลาลองทำรับประทานกันดูได้ครับ

วันอาทิตย์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

Dcleanfood.com : คุณค่าของเนื้อปลามีมากกว่าที่คุณคิด !!

ในประเทศไทยนอกจากทางภาคใต้หรือในจังหวัดที่มีพื้นที่ติดทะเลแล้ว การรับประทานเนื้อปลายังได้รับความนิยมน้อยกว่าเนื้อสัตว์ชนิดอื่น ๆ เช่นเนื้อหมู, เนื้อไก่หรือเนื้อวัวเป็นต้น ทั้งที่เนื้อปลามีโปรตีนและมีคุณค่าทางอาหารมากกว่าเนื้อสัตว์ชนิดอื่น ๆ ด้วยซ้ำ ซึ่งบางประเทศที่มีพื้นที่เป็นเกาะอย่าง ญี่ปุ่นหรือสก็อตแลนด์ จะให้ความสำคัญกับเนื้อปลาเป็นอันดับแรก ในเมนู อาหารคลีน (Clean Food) ส่วนใหญ่จะเลือกเนื้อปลามาประกอบอาหารมากกว่าเนื้อสัตว์ประเภทอื่น ๆ เพราะมีประโยชน์และร่างกายสามารถย่อยสลายและนำพลังงานไปใช้ได้อย่างรวดเร็ว



สารอาหารต่าง ๆ ในเนื้อปลา
เนื้อปลามีสารอาหารต่าง ๆ ที่มีประโยชน์กับร่างกายของคนเราอยู่มากมายหลายชนิดวันนี้เราจะมาเรียนรู้ถึงสารอาหารที่มีอยู่ในเนื้อปลากันครับ
1. โปรตีน เนื้อปลามีโปรตีนเป็นส่วนประกอบมากกว่า 20 % โดยโปรตีนในเนื้อปลานี้เป็นโปรตีนที่มีคุณภาพสูง เมื่อร่างกายได้รับโปรตีนจากเนื้อปลาแล้วร่างกายจะสามารถนำพลังงานจากโปรตีนในเนื้อปลาไปใช้ได้ในเวลาอันรวดเร็ว เนื่องจากเนื้อปลามีลักษณะอ่อนนุ่มร่างกายสามารถย่อยสลายได้ง่ายกว่าเนื้อสัตว์ชนิดอื่น ๆ และการรับประทานเนื้อปลาเป็นประจำยังเป็นการบำรุงรักษาระบบทางเดินอาหารไม่ให้ต้องทำงานหนักในการย่อยอีกด้วย

2. กรดไขมัน โอเมก้า-3 ที่พบมากในปลาทะเล ซึ่งกรดไขมันโอเมก้า-3 นี้เป็นกรดไขมันประเภทไม่อิ่มตัว โดยภายในกรดไขมันโอเมก้า-3 จะประกอบไปด้วย ดีเอชเอ (DHA) และ อีพีเอ (EPA) โดย DHA หรือ Docosahexaenoic acid เป็นกรดไขมันที่มีหน่วยเล็กที่สุด ในบรรดาไขมันที่ร่างกายไม่สามารถสร้างเองได้ และ DHA ยังมีความจำเป็นต่อร่างกายเป็นอย่างมาก

- กรดไขมัน DHA มีประโยชน์ในเรื่องการเจริญเติบโตของร่างกายและสมอง เราจึงมักได้ยินกันว่าคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ และเด็กทารก ควรได้รับ DHA ในปริมาณที่เพียงพอเพื่อประโยชน์ในการเจริญเติบโตทางร่างกายและสมองสำหรับเด็กทารกที่อยู่ในครรภ์มารดา หรือเด็กทารกที่พึ่งเกิด

- กรดไขมัน EPA EPA หรือ Eicosapentaenoic Acid มีประโยชน์มากในการช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในร่างกาย นอกจากนี้ EPA ยังช่วยลดไขมันไตรกลีซอไรด์ ตัวการที่ก่อให้เกิดการอุดตันของหลอดเลือด และประโยชน์สำคัญของ EPA คือช่วยรักษาสมดุลฮอร์โมนต่าง ๆ ในร่างกายให้อยู่ในภาวะที่พอเหมาะอีกด้วย

3. ไอโอดีน (Iodine) ในเนื้อปลาโดยเฉพาะในเนื้อปลาทะเลจะมีแร่ธาตุไอโอดีน ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่มีประโยชน์และมีความจำเป็นต่อร่างกายคนเราเป็นอย่างมาก ประโยชน์ของไอโอดีนอาทิเช่น ช่วยให้ร่างกายเจริญเติบโต, ช่วยควบคุมระบบประสาทเป็นต้น

4. วิตามิน A,B และ D ในเนื้อปลายังเป็นแหล่งสะสมของวิตามินที่มีความจำเป็นและมีประโยชน์ต่อร่างกายของเราคือวิตามิน A, B และ D โดยวิตามิน A จะมีประโยชน์กับเรื่องสายตา การมองเห็น และอื่น ๆ ส่วนวิตามิน B จะช่วยในเรื่องของการบำรุงสมอง และวิตามิน D มีส่วนช่วยในเรื่องความแข็งแรงของกระดูกแลฟัน

เนื้อปลาเป็นอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายของเราเป็นอย่างมากเมื่อเทียบกับเนื้อสัตว์ชนิดอื่นในปริมาณเท่ากัน การรับประทานเนื้อปลาในประเทศไทยก็ไม่ใช่เรื่องยาก เพราะเนื้อปลาทั้งปลาน้ำจืดและปลาทะเลสามารถหาซื้อได้ตามท้องตลาดทั่วไป และเนื้อปลาบางชนิดยังมีราคาถูกกว่าเนื้อหมู หรือเนื้อไก่อีกด้วย การเลือกเนื้อปลามาปรุงอาหารควรปรุงให้สุกแต่ไม่ควรผ่านกระบวนการมากเกินไปตามหลักของ อาหารคลีน (Clean Food) เพราะถ้าหากผ่านกระบวนการปรุงมากจนเกินไป คุณค่าทางอาหารบางชนิดในเนื้อปลาอาจจะสูญหายไปได้ ดังนั้นเพื่อสุขภาพที่ดีเรามาเน้นรับประทานเนื้อปลาให้มากขึ้น และรับประทานเนื้อสัตว์ชนิดอื่นให้น้อยลงเพื่อสุขภาพที่ดีของเรากันดีกว่าครับ

วันเสาร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

Dcleanfood.com : อาหารต้านอาการความดันโลหิตสูง

จากบทความตอนที่แล้วที่เรากล่าวถึงสาเหตุและอาการของโรคความดันโลหิตสูงกันไปแล้ว ซึ่งการรับประทานอาหารมีส่วนช่วยอย่างมากในการคงระดับความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์ปกติไม่ให้เกิดอาการแทรกซ้อนจนเกิดอันตราย โดยอาหารที่เน้นหนักที่ควรรับประทานก็เป็นอาหารจำพวกอาหารชีวจิตหรืออาหารคลีน (Clean Food)ตอนนี้เรามาเรียนรู้ถึงอาหารที่มีคุณสมบัติต้านอาการความดันโลหิตสูงกันเลยครับ

 Clean Food

อาหารและสมุนไพรต้านอาการความดันโลหิตสูง

1. รับประทานพืชผักและผลไม้ พืชผักและผลไม้มีสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอยู่เป็นจำนวนมากเช่น วิตามิน, กากใยอาหาร , แร่ธาตุต่าง ๆ นอกจากนี้พืชผักและผลไม้บางชนิดยังให้โปรตีนและคาร์โบไฮเดรตที่ดีแก่ร่างกายของเราอีกด้วย การรับประทานพืชผักและผลไม้ให้ได้ประโยชน์สูงสุดควรเลือกรับประทานผักและผลไม้ที่มีการปลูกตามธรรมชาติหรือไม่ใช้สารเคมีในการปลูก และควรรับประทานสด ๆ เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารต่าง ๆ จากพืชผักและผลไม้อย่างเต็มที่ และการรับประทานพืชผักและผลไม้ยังมีผลอย่างมากในการควบคุมระดับความดันโลหิตภายในร่างกายให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ

2. กระเทียม กระเทียมเป็นสมุนไพรที่มีประโยชน์มากและเป็นที่นิยมในการประกอบอาหารชนิดต่าง ๆ ของคนไทย โดยมีผลการวิจัยทางการแพทย์ระบุว่าการรับประทานกระเทียมเป็นประจำจะช่วยควบคุมและลดความดันโลหิตในร่างกายของเราได้อย่างมีประสิทธิภาพ

3. คึ่นฉ้าย สรรพคุณของคึ่นฉ้ายคือ ขับปัสสาวะ, ลดคอเลสเตอรอล, ลดระดับน้ำตาลในเลือด เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีสรรพคุณในการป้องกันการเกิดโรคมะเร็งอีกด้วย

4. กระเจี๊ยบแดง จากผลการวิจัยทางการแพทย์ระบุว่าการรับประทานน้ำกระเจี๊ยบแดงวันละ 2-3 ครั้ง สามารถลดความดันโลหิตได้สูงถึงร้อยละ 7-13 เปอเซ็นต์เลยทีเดียว นอกจากนี้กระเจี๊ยบแดงยังมีสรรพคุณในการ ขับปัสสาวะและลดอาการอักเสบของระบบทางเดินปัสสาวะหลังการผ่าตัดได้เป็นอย่างดีอีกด้วย

5. ใบกะเพรา ได้รับการวิจัยและการพิสูจน์มาแล้วว่ามีสรรพคุณในการลดความดันโลหิต โดยสถาบันการแพทย์บางแห่งแนะนำให้ผู้เป็นโรคความดันโลหิตสูงรับประทานกะเพราเป็นประจำเพื่อควบคุมและลดความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม การรับประทานกะเพราให้ได้ประโยชน์สูงสุดคือการนำใบกะเพรามาเคี้ยวรับประทานสด ๆ

6. ตะไคร้ ตะไคร้เป็นสมุนไพรที่มีกลิ่นหอม ส่วนใหญ่มักจะนำมาทำอาหารประเภท ต้มข่า, ต้มยำ หรือใช้เป็นส่วนผสมในยำชนิดต่าง ๆ นอกจากตะไคร้จะมีสรรพคุณในการลดระดับความดันโลหิตในร่างกายแล้ว ยังมีสรรพคุณในการขับลมและปัสสาวะออกจากร่างกาย และน้ำมันสกัดจากตะไคร้ยังสามารถบรรเทาอาการปวดหัวและคลายอาการเครียดได้เป็นอย่างดี

7. ขิง เป็นสมุนไพรที่มีประโยชน์มากมาย และใช้รักษาโรคต่าง ๆ มาอย่างยาวนาน สรรพคุณของขิงนอกจากจะมีประโยชน์ในการช่วยย่อยอาหาร ช่วยในการกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตในร่างกายและช่วยลดความดันโลหิตในร่างกายได้อีกด้วย แต่ใช่ว่าขิงจะมีประโยชน์เพียงอย่างเดียว หากเรารับประทานขิงในปริมาณมากจนเกินไปอาจจะก่อให้เกิดอาการร้อนในและแผลในกะเพราะอาหารได้

อาหารและสมุนไพรที่มีสรรพคุณช่วยลดความดันโลหิตเหล่านี้เป็นถือเป็นส่วนประกอบสำคัญของอาหารไทย อาหารชีวจิตและ อาหารคลีน (Clean Food) เห็นไหมครับว่าอาหารไทยและสมุนไพรไทยมีประโยชน์ต่อร่างกายของเรามากเลยทีเดียวครับ

วันศุกร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

Dcleanfood.com : โรคความดันโลหิตสูงภัยร้ายใกล้ตัว (Hypertension)

ความดันโลหิตของคนปกติจะอยู่ที่ 120/80 มิลลิเมตรปรอท แต่หากมีความดันโลหิตสูงกว่า 140/90 มิลลิเมตรปรอทแล้ว แสดงว่าคุณเป็นโรคความดันโลหิตสูง ปัจจัยหลัก ๆ ที่อาจก่อให้เกิดโรคความดันโลหิตสูง ได้แก่

1. ความผิดปกติของหลอดเลือดซึ่งอาจมีผลสืบเนื่องมาจากอาการของโรคอ้วน เชื้อชาติ, กรรมพันธ์ หรือการที่ร่างกายขาดการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
2. ความผิดปกติที่สืบทอดมาทางพันธุกรรม หรือกรรมพันธฺ์ซึ่งความผิดปกตินี้จะส่งผลในระดับฮอร์โมน ทำให้ร่างกายหลั่งสาร Renin angiotensin มากจนเกินไปจะเป็นสาเหตุให้เกิดโรคความดันโลหิตสูง
3. การรับประทานอาหารเค็มมากจนเกินไป ซึ่งจากผลการวิจัยพบว่า การรับประทานเกลือหรือน้ำปลาที่มีความเค็มมาก ติดต่อกันเป็นเวลานาน จะมีความเสี่ยงในการเป็นโลกความดันโลหิตสูง โดยเราควรรับประทานเกลือหรือน้ำปลาในปริมาณที่เหมาะสมและไม่ส่งผลเสียต่อร่างกายของเราเอง หากเราเลือกรับประทานอาหารชีวจิต หรือ อาหารคลีน (Clean Food) ที่ไม่ใช้เกลือหรือน้ำปลาในการปรุงอาหารเลย หรือถ้าใช้ก็ใช้ในปริมาณที่น้อยมาก ก็จะลดความความเสี่ยงในการเป็นโรคความดันโลหิตสูงได้อย่างมาก


อาการของโรคความดันโลหิตสูง
- อาการสำคัญของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงคือ อาการปวดหัวอย่างรุนแรงเนื่องจากความดันโลหิตเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยอาการปวดหัวนี้อาจเกิดขึ้นได้ตลอดทั้งวัน หรือถ้ามีความดันโลหิตสูงมาก ๆ อาจจะมีอาการคลื่นไส้อาเจียนแสดงออกมาให้เห็นด้วย
- อาการหายใจหอบและมีอาการเหนื่อยง่าย บางรายที่มีอาการหนักอาจจะไม่สามารถนอนราบไปกับพื้นได้ เนื่องจากเมื่อนอนแล้วจะมีอาการไออย่างหนัก ต้องหลับในท่านั่ง ซึ่งอาจจะเกิดภาวะหัวใจล้มเหลว หรือเส้นเลือดในสมองแตกตามมาได้
- อาการแน่นหน้าอก เนื่องจากหัวใจทำงานผิดปกติเนื่องจากความดันโลหิตสูงจนเกินไป
- อาการเลือดกำเดาไหล เมื่อผู้ป่วยมีอาการความดันโลหิตขึ้นสูงมาก อาจจะเกิดเลือดกำเดาไหลได้

ผู้ป่วยที่มีอาการของโรคความดันโลหิตสูง ควรมีการวัดความดันโลหิตของตนเองเป็นประจำทุกวัน เพื่อให้ทราบว่าช่วงไหนที่เรามีความผิดปกติในเรื่องของความดันโลหิตสูง เราจะได้ควบคุมความดันของเราให้อยู่ในเกณฑ์ปกติมากที่สุด โดยการเลิกรับประทานอาหารเค็ม หันมารับประทานอาหารตามธรรมชาติเช่น อาหารคลีน (Clean Food) เลิกรับประทานเค็ม และเลิกดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และเลิกสูบบุหรี่โดยเด็ดขาดครับ

วันพฤหัสบดีที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

Dcleanfood.com : แพ้อาหาร

อาการแพ้อาหารอาจเกิดขึ้นได้กับเราได้ทุกคน หากเราบังเอิญไปรับประทานที่เรามีอาการแพ้ขึ้นมา อาหารที่คนเรามักเกิดอาการแพ้ยกตัวอย่างเช่น แพ้อาหารทะเล, แพ้ถั่วชนิดต่าง ๆ อาหารจำพวกนี้จะมีโปรตีนเป็นองค์ประกอบน้อยครั้งที่เราจะพบว่ามีคนมีอาการแพ้พืชผักหรือผลไม้บางชนิด ดังนั้นไม่ว่าเราจะดูแลรักษาสุขภาพของเราอย่างดีด้วยการเลือกรับประทานอาหารมังสวิรัติ, อาหารเจ, หรือ อาหารคลีน (Clean Food) แต่เราต้องไม่ลืมที่จะงดเว้นอาหารที่เรามีอาการแพ้ด้วยนะครับ


ข้อสังเกตุ อาการแพ้อาหาร (Food Allergy) ให้ลองสังเกตอาการของตัวเราหรือผู้อื่นดูนะครับ ถ้าหากหลังจากรับประทานอาหารไปแล้วโดยทันที หรือหลังจากนั้นไม่เกิน 2 ชั่วโมงแล้วมีอาการ คันตามตัว, ปากบวม, มีผื่นแดงขึ้นตามตัว, หายใจติดขัดหายใจลำบากหรือหายใจไม่ออก, ปวดท้อง ท้องร่วง คลื่นไส้ อาเจียนหรือเป็นลมเนื่องจากเวียนศรีษะ ให้สันนิษฐานอาการไว้เลยว่าอาจจะเกิดจากการแพ้อาหาร (Food Allergy) และในรายที่มีอาการแพ้อาหารอย่างรุนแรง อาจจะมีอาการชีพจรเต้นเร็วผิดปกติ หน้ามืดเป็นลมจนหมดสติ หรือมีอาการความดันโลหิตลดต่ำลงจนช็อก ซึ่งอาจมีอันตรายถึงชีวิตได้ โดยอาการแพ้อาหารนั้น ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะมีอาการเกิดขึ้นทางผิวหนัง หรือระบบทางเดินหายใจ มากกว่าระบบทางเดินอาหาร หรือระบบหัวใจและหลอดเลือด โดยอาการแพ้อาหารในเด็กนั้นจะเกิดขึ้นที่ระบบทางเดินหายใจและผิวหนัง แต่อาการแพ้อาหารในผู้ใหญ่นั้นจะแสดงอาการมากในระบบหัวใจและหลอดเลือด

ผู้ป่วยที่มีอาการแพ้อาหารทะเลหรือธัญพืชจำพวกถั่วต่าง ๆ ส่วนใหญ่จะมีอาการแพ้ไปตลอดชีวิต ไม่มีทางรักษาให้หายขาดได้ อาการแพ้ในแต่ละครั้งจะมีความรุนแรงไม่เท่ากัน โดยจะอยู่ที่ปริมาณของอาหารชนิดที่เรามีอาการแพ้ที่เข้าสู่ร่างกายของเรา ดังนั้นผู้ที่มีอาการแพ้อาหารทะเลหรือธัญพืชประเภทถั่วต่าง ๆ จะต้องมีความระมัดระวังและรอบคอบในการสังเกตส่วนประกอบของอาหารที่เรารับประทานเข้าไปในแต่ละมื้อ

อาการแพ้อาหารไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ นะครับ หากรับประทานอาหารที่มีอาการแพ้เข้าไปในปริมาณมากๆ และไม่รีบเข้ารับการรักษาอาจทำให้เสียชีวิตได้เลยทีเดียว ดังที่เราได้กล่าวไว้แล้วว่าอาหารที่คนเราแพ้ส่วนใหญ่นั้นจะประกอบด้วยสารโปรตีน เราอาจจะหลีกเลี่ยงอาการแพ้อาหารโดยการหันไปรับประทานอาหารธรรมชาติ ที่มีการปรุงแต่งน้อยหรือไม่ผ่านการปรุงแต่งเลยเช่น อาหารคลีน (Clean Food) แต่ยังไงก็ต้องระวังอาหารที่เราแพ้อยู่ดี เพราะเราอาจจะแพ้โปรตีนที่ใช้ประกอบอาหารคลีน (Clean Food) เช่นโปรตีนจากเนื้อปลาก็เป็นไปได้

วันพุธที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

Dcleanfood.com : โรคเบาหวานกับการรับประทานอาหาร

ตอนที่แล้วเราทราบถึงสาเหตุและอาการของโรคเบาหวานกันไปแล้วนะครับ โรคเบาหวานเป็นโรคไม่ได้ไกลตัวเราเลย เมื่อเราเกิดภาวะของโรคเบาหวานแล้วการใช้ชีวิตของเราก็จะมีความลำบากและต้องดูแลตัวเองมากขึ้นดังนั้นทางที่ดีที่สุดคือเราควรเลือกดูแลและป้องกันตัวเราเองให้ห่างไกลจากโรคเบาหวานโดยการออกกำลังกาย และเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายของเราเช่นอาหารเจ หรือ อาหารคลีน (Clean Food) ครับ

 Clean Food

เมื่อเราอยู่ภาวะของโรคเบาหวาน หากผู้ป่วยท่านใดไม่เคยรับประทานอาหารเช้า จำเป็นต้องเปลี่ยนพฤติกรรมหันมารับประทานอาหารเช้าเป็นประจำ โดยควรเลือกรับประทานอาหารให้ครบทั้ง 3 มื้อโดยเน้นที่อาหารเช้าและอาหารกลางวันเป็นหลักและรับประทานอาหารเย็นในปริมาณที่น้อยลง เพื่อผลดีในการควบคุมระดับน้ำตาลในกระแสเลือด ยังมีผลดีทำให้น้ำหนักของผู้ป่วยลดลง และลดภาวะของโรคแทรกซ้อนต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้เป็นอย่างดีอีกด้วย

และเพื่อไม่ให้อาการของโรคเบาหวานเกิดการแทรกซ้อนหรือรุนแรงมากขึ้นเรามาศึกษากันดีกว่าครับว่า ผู้เป็นโรคเบาหวานควรปฏิบัติตนและเลือกรับประทานอาหารอย่างไร

- ควรงดรับประทานน้ำตาล ของหวานที่มีน้ำตาลทุกชนิด , ผลไม้ที่มีรสหวานหรือน้ำผึ้ง และที่สำคัญควรงดรับประทานน้ำอัดลม เบียร์ หรือน้ำหวานประเภทต่าง ๆ โดยเด็ดขาด

- ลดการรับประทานอาหารคาร์โบไฮเดรต เช่น ข้าว, ขนมปัง, ข้าวเหนียว และผลิตภัณฑ์อาหารต่าง ๆ ที่มาจากแป้ง

- งดรับประทานอาหารประเภทที่มีไขมันไม่อิ่มตัว เช่น ขาหมู, หนังไก่, หมูสามชั้น , กะทิ หรืออาหารที่ผ่านการทอดเช่น ลูกชิ้นหรือของทอด โดยควรหันไปรับประทานอาหารโปรตีน เช่น โปรตีนจากธัญพืช โปรตีนจากนม รวมถึงโปรตีนจากผลไม้บางประเภทที่ไม่หวานจัด

- ผู้ป่วยโรคเบาหวานควรระมัดระวังไม่ให้ร่างกายเกิดบาดแผลโดยเฉพาะบาดแผลที่เท้าต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะอาจส่งผลให้มีการอักเสบเรื้อรังจนถึงขั้นต้องตัดเนื้อบางส่วนออก

- ควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง แต่ไม่ควรเป็นการออกกำลังกายที่หักโหมมากจนเกินไป การออกกำลังกายสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานเช่น การว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน เล่นโยคะ หรือเดินเร็วเป็นต้น

- ผู้ป่วยโรคเบาหวานควรงดหรือเลิกการสูบบุหรี่โดยเด็ดขาด เพื่อป้องกันไม่ให้ผนังหลอดเลือดแดงแข็งตัวเร็วขึ้น ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของภาวะโรคแทรกซ้อนต่าง ๆ ในผู้ป่วยโรคเบาหวาน

- ผู้ป่วยควรหมั่นตรวจระดับน้ำตาลในเลือดอยู่เสมอ โดยอาจจะตรวจด้วยตนเองหรือไปตรวจที่โรงพยาบาลก็ได้

- ผู้ป่วยโรคเบาหวานไม่ควรซื้อยามารับประทานเอง เช่นยำจำพวกสมุนไพร หรือสารสกัดต่าง ๆ เพราะยาบางตัวที่ผู้ป่วยซื้อมารับประทานเอง อาจจะมีส่วนผสมของน้ำตาลในปริมาณมาก

หวังว่าบทความนี้คงมีประโยชน์สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานให้ทราบว่าต้องปฏิบัติตนอย่างไร ส่วนคนที่ยังไม่เป็นโรคเบาหวานควรดูแลและป้องกันตนเองให้ห่างไกลจากโรคเบาหวานเสียแต่เนิ่นๆ โดยการเลิกสูบบุหรี่, หันมาออกกำลังจากเป็นประจำ งดรับประทานน้ำตาลและไขมันมากเกินความจำเป็นของร่างกาย และสุดท้ายคือการหันมารับประทานอาหารเช้าซึ่งเป็นมื้อที่มีประโยชน์มากที่สุดของวัน ตามที่เราเคยได้กล่าวไปแล้ว และควรเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายเช่น อาหารคลีน (Clean Food) เป็นต้นครับ

วันอังคารที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

Dcleanfood.com : โรคเบาหวาน

เมื่อวานเราพูดถึงอาหารที่มีส่วนช่วยในการป้องกันอาการของโรคหัวใจกันไปแล้วนะครับ วันนี้ยังมีอีกหนึ่งโรคที่เราอยากพูดถึงคือโรคเบาหวาน ปัจจุบันโรคเบาหวานเป็นโรคที่พบได้ในช่วงอายุที่กว้างมากขึ้นเนื่องจากในปัจจุบันเด็กไทยมีภาวะโรคอ้วนและน้ำหนักเกินกันอย่างมาก โดยปัจจุบันพบผู้ป่วยโรคเบาหวานในประเทศไทยกว่า 3 ล้านคน โรคเบาหวานส่วนใหญ่มีสาเหตุจากการรับประทานอาหารจนอ้วนหรือมีไขมันในร่างกายมากเกินไป โดยถ้าหากเราเลือกรับประทานอาหารมังสวิรัติ, อาหารเจหรือ อาหารคลีน (Clean Food) ให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายในปริมาณที่เหมาะสมแล้วเราก็จะมีภูมิคุ้มกันความเสี่ยงที่เราอาจจะเป็นโรคเบาหวานได้ครับ


โรคเบาหวาน มีสาเหตุจากความผิดปกติของตับอ่อนในร่างกายของเราที่มีความผิดปกติเนื่องจากมีการผลิตฮอร์โมน อินซูลิน ไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ทำให้ร่างกายไม่สามารถรับน้ำตาลเข้าสู่เซลล์ต่างๆในร่างกายของคนเราได้ตามปกติ ส่งผลให้ระดับน้ำตาลในกระแสเลือดของเราสูงจนเกินไป ในระยะยาวจะมีผลต่อความเสียหายของหลอดเลือด ถ้าหากไม่ทราบอาการหรือไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม อาจจะมีโรคต่าง ๆ แทรกซ้อนเข้ามามากมาย บางครั้งอาจจะมีภาวะโรคแทรกซ้อนที่รุนแรงได้ โรคเบาหวานเป็นโรคที่เมื่อเป็นแล้วไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ และนอกจากนี้โรคเบาหวานยังเป็นโรคทางพันธุกรรม โดยพ่อแม่ที่เป็นโรคเบาหวาน ลูกก็อาจจะมีภาวะเสี่ยงอย่างมากที่จะเป็นโรคเบาหวานและโรคเบาหวานยังอาจเกิดจากการใช้ยาประเภทต่าง ๆ มากจนเกินไปเช่น ยาคุมกำเนิด หรือสเตอรอยด์

อาการโดยทั่วไปของโรคเบาหวาน ผู้ป่วยจะมีอาการปัสสาวะบ่อยและมีปริมาณมากในแต่ละครั้ง เนื่องจากผู้ป่วยโรคเบาหวานจะถูกดึงน้ำจากเลือดให้ออกมาทางไตด้วย ทำให้ร่างกายมีภาวะการปัสสาวะมากกว่าปกติ เมื่อร่างกายของผู้ป่วยเสียน้ำเนื่องจากการปัสสาวะบ่อย ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกกระหายน้ำ และต้องดื่มน้ำบ่อย ๆ และอาการที่สำคัญอีกประการหนึ่งของโรคเบาหวานคือ น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วทำให้ร่างกายผอมและโทรมมาก เนื่องจากร่างกายของผู้ป่วยโรคเบาหวานไม่สามารถนำน้ำตาลมาเผาผลาญเพื่อเป็นพลังงานของร่างกายได้ ร่างกายจึงนำกล้ามเนื้อและไขมันมาเผาผลาญเป็นพลังงานแทน เมื่อกล้ามเนื้อและไขมันในร่างกายถูกเผาผลาญเป็นพลังงานอย่างต่อเนื่อง ทำให้ร่างกายผู้ป่วยซูบผอมเนื่องจากขาดไขมัน และกล้ามเนื้อฝ่อหรือลีบเนื่องจากกล้ามเนื้อโดนเผาผลาญเป็นพลังงาน และโรคนี้ยังทำให้ร่างกายเรามีน้ำตาลคั่งอยู่ในอวัยวะต่าง ๆ จึงทำให้การทำงานของร่างกายผิดปกติ และทำให้ร่างกายอ่อนแอและเกิดโรคแทรกซ้อนได้

โรคเบาหวานเป็นโรคที่รักษาไม่หาย และเป็นโรคที่มีความรุนแรงมากหากมีภาวะแทรกซ้อนแต่โรคทุกโรคก็สามารถป้องกันได้ด้วยการเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ปราศจากไขมันและน้ำตาลซึ่งเป็นสารอาหารที่ส่งผลเสียต่อร่างกายหากรับประทานเข้าไปในปริมาณที่มากจนเกินไป และคนที่เป็นโรคเบาหวานยังต้องควบคุมการรับประทานอาหารซึ่งต้องมีความรอบมากกว่าการรับประทาน อาหารคลีน (Clean Food) เสียอีกครับ

วันจันทร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

Dcleanfood.com : อาหารต้านโรคหัวใจ

ปัจจุบันคนไทยเป็นโรคหัวใจกันเป็นจำนวนมาก และโรคหัวใจยังเป็นสาเหตุลำดับต้น ๆ ของการเสียชีวิตของคนไทย สาเหตุของโรคหัวใจส่วนใหญ่เกิดจากการรับประทานอาหารที่มีไขมันและครอเรสเตอรอลสูงจนเกินไป ไขมันที่ก่อให้เกิดโรคหัวใจจะเป็นไขมันประเภทไขมันอิ่มตัวที่ได้จากสัตว์ ภาวะของโรคหัวใจจึงไม่พบมากในผู้รับประทานอาหารมังสวิรัติ, อาหารเจ หรือ อาหารคลีน (Clean Food) โรคหัวใจเป็นโรคที่รักษาไม่หายขาดนะครับ ถ้าหากต้องการให้ดีขึ้นต้องทำการผ่าตัด แต่ทางที่ดีที่สุดคือการป้องกันแต่เนิ่นๆ ไม่ให้เกิดโรคหัวใจได้ วันนี้เรามาศึกษาถึงหน้าที่การทำงานของหัวใจและอาหารที่ช่วยต้านโรคหัวใจกันครับ


หัวใจเป็นอวัยวะที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งในร่างกายของเรา โดยหัวใจของคนโดยปกติจะอยู่ในใต้กระดูกช่องอกด้านซ้าย หัวใจของเราจะมีขนาดพอๆ กับกำปั้นของตัวเราเอง หัวใจของคนเราจะแบ่งออกเป็น 4 ห้องโดยมี 2 ห้องด้านบนและอีก 2 ห้องในด้านล่าง หน้าที่หลักของหัวใจคือสูบฉีดโลหิตเพื่อนำออกซิเจนและสารอาหารต่าง ๆ ไปยังทุกส่วนของร่างกายเรา

ควรเลือกรับประทานโปรตีนจากเนื้อปลา การเลือกรับประทานอาหารโปรตีนควรเลือกอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวต่ำและมีครอเรสเตอรอลไม่สูง อาหารประเภทเนื้อไก่เนื้อเป็ด ไข่และนม อาจจะมีไขมันต่ำ แต่มีปริมาณไขมันอิ่มตัวและครอเรสเตอรอลสูง ดังนั้นเราควรเลือกรับประทานโปรตีนจากเนื้อปลาและในปลาทูน่า, ปลาแซลมอน, ปลาช่อนและปลาดุกจะมีกรดไขมันโอเมก้า 3 อยู่มาก และกรดไขมันโอเมก้า 3 นี้จะช่วยลดระดับคอเรสเตอรอล และยังช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและการไหลเวียนให้กับหลอดเลือด และลดความเสี่ยงจากการอุดตันของหลอดเลือด

รับประทานน้ำมันที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัว น้ำมันที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัว ได้แก่น้ำมันพืช จำพวกน้ำมันมะกอก น้ำมันรำข้าว มาใช้ในการประกอบอาหารแทนน้ำมันพืชที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบันก็จะสามารถช่วยลดครอเรสเเตอรอลลงที่มีผลเสียต่อร่างกายคือ LDL-C ลงได้โดยไม่ทำลายครอเรสเตอรอลที่ดีอย่าง HDL-C

รับประทานพืชผักและผลไม้ให้หลากหลาย พืชผักและผลไม้มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระอยู่เป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ผักและผลไม้ยังมี วิตามิน, เกลือแร่และใยอาหาร และยังมีสาร ไพโตรเคมีคอล ที่ช่วยป้องกันโรคหัวใจได้ และควรเลือกรับประทานพืชผักและผลไม้สด เพราะจะได้สารอาหารครบถ้วน ไม่รับประทานผักดองหรือผลไม้กระป๋อง เพราะจะได้สารพิษอย่างอื่นเช่นน้ำตาลเข้าสู่ร่างกายแทน

รับประทานข้าวที่ไม่ผ่านการขัดสี เช่นข้าวกล้อง, ข้าวซ้อมมือ หรือข้าว Rice Berry รวมถึงขนมปังที่ได้จากแป้งสาลีไม่ขัดสีอย่างขนมปังโฮลวีท สารอาหารจากข้าวหรือแป้งที่ไม่ผ่านการขัดสีจะช่วยให้หัวใจแข็งแรง และป้องกันความเสี่ยงจากโรคหัวใจได้

โรคหัวใจเป็นโรคที่ร้ายแรงและมีโอกาสเกิดขึ้นได้กับทุกคนนะครับ เพราะฉะนั้นเราควรสร้างเกราะป้องกันให้กับตนเองโดยการเลือกรับประทานอาหารที่สามารถช่วยป้องกันโรคหัวใจได้ โดยอาจจะเลือกรับประทานอาหารมังสวิรัติ, อาหารเจ หรือ อาหารคลีน (Clean Food) ก็สามารถช่วยป้องกันโรคหัวใจได้นะครับ

วันอาทิตย์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

Dcleanfood.com : อาหารที่ต้องงดเว้นในเทศกาลกินเจ

ตอนที่แล้วเราทราบถึงประวัตความเป็นมาของอาหารเจและเทศกาลกินใจกันไปแล้วนะครับ ซึ่งเราอาจจะกล่าวได้ว่าอาหารเจก็คืออาหารมังสวิรัติประเภทหนึ่ง และหากเราตัดหรืองดเว้นเนื้อสัตว์ในการรับประทาน อาหารคลีน (Clean Food) เมื่อนั้นอาหารคลีน (Clean Food) ก็สามารถจัดให้อยู่ในหมวดของอาหารมังสวิรัติประเภทหนึ่งได้ คราวนี้เรามาพูดถึงอาหารเจกันต่อนะครับ ตามที่เราทราบกันอยู่แล้วว่าการรับประทานอาหารเจนั้นเป็นการงดหรือละเว้นการรับประทานเนื้อสัตว์ทุกชนิด แต่ทุกท่านทราบหรือไม่ครับว่านอกจากเนื้อสัตว์แล้ว อาหารเจก็ห้ามรับประทานอาหารอื่นๆ บางชนิดด้วย เรามาดูกันดีกว่าครับว่าการรับประทานอาหารเจนอกจากต้องงดรับประทานเนื้อสัตว์แล้วยังต้องงดรับประทานอาหารชนิดไหนอีกบ้าง


การกินเจตามความเชื่อของชาวจีนโบราณ ยังห้ามรับประทานผักหรือเครื่องเทศน์ที่มีกลิ่นฉุนอีก 5 ประเภท อันได้แก่

1. การกินเจห้ามรับประทานกระเทียม ทั้งในส่วนของหัวและลำต้นเช่นกระเทียมดอง เพราะชาวจีนมีความเชื่อว่าการรับกระเทียมจะไปทำลายธาตุไฟในร่างกาย และจะมีผลให้หัวใจของเราทำงานผิดปกติหรือเต้นผิดจังหวะ

2. การกินเจห้ามรับประทานหอม ทั้งในส่วนของต้นและใบของหอม หัวหอมใหญ่และหัวหอมแดงเรียกได้ว่างดรับประทานหอมทุกชนิด เนื่องจากชาวจีนมีความเชื่อว่าการรับประทานหอม จะเข้าไปทำลายธาตุน้ำในร่างกายของผู้ที่รับประทาน และทำให้การทำงานของไตผิดปกติและอาจจะทำให้ไตเสื่อมในที่สุด

3. การกินเจห้ามรับประทานหลักเกียว หลักเกียวในภาษาจีนหมายถึงกระเทียมโทนจีน โดยกระเทียมโทนจีนจะมีลักษณะคล้ายหัวกระเทียม แต่มีขนาดหัวที่เล็กและกลีบยาวกว่า การงดรับประทานหลักเกียวเนื่องจากชาวจีนมีความเชื่อกันมาอย่างยาวนานว่าการรับประทานหลักเกียว จะเข้าไปทำลายธาตุดินในร่างกาย และทำให้ม้ามของผู้รับประทานทำงานผิดปกติ

4. การกินเจห้ามรับประทานกุยช่าย กุยช่ายเป็นผักที่นิยมและมักนำมาทำเป็นขนมกุยช่ายที่ได้รับความนิยมและรับประทานกันอย่างแพร่หลายในประเทศไทย กุยช่ายเป็นผักที่มีลักษณะใบเขียวจัดคล้ายใบของหอม แต่มีลักษณะแบนและมีขนาดความกว้างของใบน้อยกว่า การงดรับประทานกุยช่ายในเทศกาลกินเจ เนื่องจากชาวจีนมีความเชื่อว่า กุยช่ายเมื่อรับประทานเข้าไปจะเข้าไปทำลายธาตุไม้ในร่างกายของคนเรา และมีผลทำให้การทำงานของตับผิดปกติได้

5. การกินเจห้ามรับประทานหรือสูบใบยาสูบ รวมถึงบุหรี่, ยาเส้น และสิ่งเสพติดมึนเมาที่มาจากพืชทุกชนิด เนื่องจากชาวจีนมีความเชื่อว่าการสูบใบยาสืบ หรือเสพสิ่งเสพติดของมึนเมาที่ได้มาจากพืชทุกชนิด สารเสพติดเหล่านี้จะเข้าไปทำลายธาตุทองที่มีอยู่ในร่างกาย และจะทำให้การทำงานของปอดผิดปกติได้

นอกจากเนื้อสัตว์และผักทั้ง 5 แล้วการกินเจยังต้องงดรับประทานอาหารรสจัด ซึ่งหมายถึง อาหารที่มีรสชาติเค็มจัด, เผ็ดจัด, หวานจัด และเปรี้ยวจัด ซึ่งการรับประทานอาหารรสจัดจะทำให้สมดุลพื้นฐานของร่างกายผิดปกติไป

นอกจากนี้กลุ่มผู้รับประทานอาหารเจ ยังแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มคล้ายกับกลุ่มผู้รับประทานอาหารมังสวิรัติ คือกลุ่มที่รับประทานไข่และนม, กลุ่มที่เลือกรับประทานไข่หรือนมอย่างใดอย่างหนึ่ง และกลุ่มสุดท้ายคือกลุ่มอาหารเจบริสุทธิ์คือกลุ่มคนที่ไม่รับประทานผลิตภัณฑ์ใด ๆ ที่มาจากสัตว์เลยไม่ว่าจะเป็นส่วนใดของร่างกายสัตว์ ไข่หรือนม ซึ่งในปัจจุบันมีผู้หันมารับประทานอาหารเจบริสุทธิ์กันมากขึ้นในเทศกาลกินเจ
 

ทราบกฏข้อห้ามของการรับประทานอาหารเจกันไปแล้วนะครับ ยิ่งอ่านยิ่งรู้สึกถึงความคล้ายคลึงและเกี่ยวข้องกันระหว่างอาหารเจและอาหารมังสวิรัติ แต่เรื่องของการงดรับประทานผักทั้ง 5 ในอาหารเจ หากออกเจแล้วก็รับประทานกันได้ปกตินะครับ เพราะหากไม่รับประทานมากจนเกินไป ผักทั้ง 5 ก็มีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่การงดรับประทานผักทั้ง 5 ก็มีส่วนคล้ายกับหลักการรับประทาน อาหารคลีน (Clean Food) ที่รับประทานอาหารโดยไม่มีเครื่องปรุงหรือผ่านการปรุงรสใด ๆ แต่ไม่ว่าจะเป็นอาหารเจ อาหารมังสวิรัติ หรืออาหารคลีน (Clean Food) ก็มีประโยชน์ต่อร่างกายของเราทั้งนั้นครับ ถ้าหากเราสามารถปฏิบัติตามหลักการและรับประทานอย่างต่อเนื่อง

วันเสาร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

Dcleanfood.com : กำเนิดการกินเจ

อ่านเรื่องอาหารมังสวิรัติกันมาหลายตอนแล้วนะครับ อาหารมังสวิรัติมีความคล้ายคลึงกับอาหารที่คนไทยเรานิยมรับประทานกันในเทศกาลกินเจหรืออาหารเจมากทีเดียวเนื่องจากอาหารทั้ง 2 ประเภทเน้นที่การรับประทานพืชผักและผลไม้ ไม่รับประทานเนื้อสัตว์ แต่อาหารเจก็ยังต่างจาก อาหารคลีน (Clean Food)ตรงที่อาหารเจอาจจะผ่านกระบวนการปรุงรสมากมายเพื่อให้ได้อาหารรสชาติดี แต่ อาหารคลีน (Clean Food) จะเน้นรับประทานอาหารที่ผ่านการปรุงน้อยที่สุดหรือไม่ผ่านการปรุงเลย และอาหารคลีน (Clean Food) ยังมีการรับประทานเนื้อบ้างเล็กน้อยแต่อาหารเจจะงดเว้นการรับประทานเนื้อสัตว์ในทุกกรณี ต่อไปเรามาทราบถึงประวัติความเป็นมาของอาหารเจกันเลยครับ


หลายท่านคงสงสัยกันนะครับว่าคำว่าเจ ในอาหารเจ มีความหมายว่าอะไร คำว่าเจ มาจากคำว่า ไจ ตามรากศัพท์ของภาษาจีน คำว่าไจในภาษาจีนหมายถึง งดเว้นและปราศจากการทำลายชีวิตและงดเว้นอาหารที่มีกลิ่นคาวทุกอย่าง อาหารเจจึงเป็นอาหารที่มีความบริสุทธิ์ และเป็นอาหารให้สิริมงคลแก่ผู้รับประทาน ตัวหนังสือคำว่า ไจ จึงเขียนด้วยสีแดงสด ซึ่งชาวจีนถือกันว่าสีแดงเป็นสีแห่งความโชคดีและความเป็นสิริมงคล โดยจะเขียนอยู่บนกระดาษหรือผ้าที่เป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสสีเหลืองหรือสีทอง ซึ่งเป็นสีที่บ่งบอกถึงความยิ่งใหญ่เป็นสีของกษัตริย์ของจีน

เทศกาลกินเจ เริ่มขึ้นเมื่อกว่า 400 ปีที่แล้วในประเทศจีน ตามตำนานอันเก่าแก่ระบุว่าการกินเจเกิดขึ้นในสมัยที่ราชวงศ์แมนจูเข้ามาปกครองประเทศจีน และต้องการให้ชาวจีนดั้งเดิมหรือชาวฮั่นให้ยอมรับและปฏิบัติตามวัฒนธรรมต่าง ๆ ของตนเอง และในสมัยนั้นมีชาวจีนจำนวนมากหลายพวกหลายกลุ่มที่ออกมาต่อต้านราชวงศ์แมนจู หนึ่งในกลุ่มนั้นคือกลุ่มที่ใช้หลักธรรมคำสอนตามศาสนาในการปฏิบัติตนเข้าร่วมด้วย โดยคนกลุ่มนี้จะนุ่งห่มร่างกายด้วยสีขาว และที่สำคัญชาวจีนกลุ่มนี้จะไม่รับประทานเนื้อสัตว์ เพื่อให้ร่างกายมีความบริสุทธิ์และช่วยสร้างความเข้มแข็งให้กับตนเองทั้งทางร่างกายและจิตใจแต่ในที่สุดชาวจีนกลุ่มนั้นก็พ่ายแพ้ และเสียชีวิตจากการต่อต้านราชวงศ์แมนจูเป็นจำนวนมาก แต่ชาวจีนที่เหลือก็เห็นถึงความเสียสละและความมุ่งมั่นของคนกลุ่มนี้ จึงมีการกำหนดให้ทุกวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 9 เป็นวันที่พวกเขาจะทำการถือศีลและกินอาหารเจ เพื่อลำรึกถึงคนกลุ่มนั้น

เทศกาลกินเจแต่ละปีจะนาน 9 วันเนื่องจากชาวจีนถือว่าเป็นการสักการะพระพุทธเจ้า 7 พระองค์ได้แก่
1. พระวิชัยโลกมนจรพุทธะ
2. พระศรีรัตนโลกประภาโมษอิศวรพุทธะ
3. พระเวปุลลรัตนโลกวรรณสิทธิพุทธะ
4. พระอโศกโลกวิชัยมงคลพุทธะ
5. พระวิสุทธิอาศรมโลกเวปุลลปรัชญาวิภาคพุทธะ
6. พระธรรมมติธรรมสาครจรโลกมโนพุทธะ
7. พระเวปุลลจันทรโภคไภสัชชไวฑูรย์พุทธะ

และสักการะพระมหาโพธิสัตว์อีก 2 พระองค์ได้แก่
1. พระศรีสุขโลกปัทมอรรถอลังการโพธิสัตว์
2. พระศรีเวปุลกสังสารโลกสุขอิศวรโพธิสัตว์
รวมเป็น 9 พระองค์

ชาวจีนทั้งในประเทศและที่อยู่ในต่างประเทศจึงมีความเคร่งครัดในเทศกาลกินเจเป็นอย่างมาก เพราะถือว่าการกินเจเป็นการสักการะและขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์และเทพเจ้าทั้ง 9 พระองค์ ผู้ถือศีลกินเจจะต้องทำตัวอยู่ในศีลในธรรมและงดเว้นการรับประทานเนื้อสัตว์ ตลอด 9 วันในเทศกาลกินเจ และหากทำได้จะได้บุญสูงสุด ส่งผลให้มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงและประสบแต่ความสุขและความเจริญตลอดไป

เทศกาลกินเจปีนึงจะมี 9 วันนะครับ แต่เราสามารถรับประทานอาหารเจได้ตลอดทั้งปี หรือในช่วงเวลาที่ยาวนานกว่า 9 วันตามแต่ศรัทธาของแต่ละท่าน อาหารเจที่ขายกันตามท้องตลาดก็เป็นอาหารที่มีรสชาติดี มีกลิ่นหอมน่ารับประทานและที่สำคัญอาหารเจยังเป็นอาหารที่งดเว้นเนื้อสัตว์จึงเป็นการสอนเราตามหลักธรรมที่ว่าไม่ให้เบียดเบียนผู้อื่น ผู้ที่รับประทานอาหารเจหากหันมารับประทานอาหารที่ผ่านการปรุงน้อยหรือไม่ผ่านการปรุงรสชาติเลยเหมือนกับ อาหารคลีน (Clean Food)ก็จะได้ประโยชน์ต่อร่างกายของผู้รับประทานมากขึ้นด้วยครับ

วันศุกร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

Dcleanfood.com : อาหารมังสวิรัติบริสุทธิ์

จากตอนที่แล้วที่เราจัดกลุ่มผู้บริโภคอาหารมังสวิรัติออกเป็น 3 กลุ่มด้วยกัน ซึ่งกลุ่มแรกคือกลุ่มที่บริโภคทั้งไข่และนมจะมีความคล้ายคลึงกับกลุ่มผู้นิยมบริโภค อาหารคลีน (Clean Food) มากที่สุด แต่กลุ่มที่น่าสนใจและน่านับถือในความเคร่งครัดมากที่สุดได้แก่กลุ่มผู้บริโภคอาหารมังสวิรัติบริสุทธิรับประทานแต่พืชผักและผลไม้โดยไม่รับประทานผลิตภัณฑ์ใดจากสัตว์เลย วันนี้เรามาทำความรู้จักนักมังสวิรัติบริสุทธิ์กันให้มากกว่านี้แล้วท่านจะนับถือในความเคร่งครัดของพวกเขาเหมือนกับผมครับ



กลุ่มผู้บริโภคอาหารมังสวิรัติบริสุทธิ์บางกลุ่มนอกจากจะงดเว้นอาหารที่มาจากสัตว์ทุกชนิดแล้วบางกลุ่มเช่น กลุ่มนักบวชบางนิกายและกลุ่มผู้นับถือศาสนาฮินดูนิกายเจน ในประเทศอินเดียจะบริโภคอาหารมังสวิรัติบริสุทธิ์และยังงดเว้นไม่รับประทานอาหารจำพวกกระเทียม, หัวหอม และเห็ดชนิดต่าง ๆ ทุกชนิดโดยคนกลุ่มนี้มีความเชื่อว่ากระเทียม, หัวหอมหรือเห็ดบางชนิดมีส่วนในการกระตุ้นอารมณ์ทางเพศ และคนเหล่านี้ยังมีความเชื่อว่าเห็ดเป็นพื้นชั้นต่ำ เติบโตในที่มืด ไม่สมควรนำมารับประทานและนอกจากนี้เห็ดยังเป็นอาหารที่ไม่ได้รับพลังงานจากแสงอาทิตย์ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้ให้ความเคารพและนับถือ

กลุ่มผู้บริโภคอาหารมังสวิรัติบริสุทธิ์บางกลุ่มจะมีความเคร่งครัดในการปฏิบัติมาก โดยจะเลือกรับประทานแต่ผักและผลไม้ที่สดที่ไม่ผ่านการปรุงแต่งใดๆ เลย เพราะคนกลุ่มนี้ถือว่าอาหารสดเป็นอาหารที่ให้พลังงานและพลังชีวิตได้ดีที่สุด อาหารถึงจะเป็นผักและผลไม้หากผ่านการปรุงหรือผ่านความร้อนเป็นอาหารที่ไม่มีพลังงานบริสุทธิ์และไม่ให้พลังชีวิตเมื่อรับประทาน นอกจากนี้ยังมีบางกลุ่มที่เลือกรับประทานแต่ผลไม้เพียงอย่างเดียว เราเรียนกลุ่มนี้ว่าผู้รับประทานผลไม้ โดยกลุ่มที่รับประทานแต่ผลไม้เพียงอย่างเดียวถือเป็นกลุ่มน้อย โดยคนเหล่านี้จะได้รับสารอาหารทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นคาร์โบไฮเดรต, โปรตีนและไขมันบางชนิดจากผลไม้เท่านั้น ซึ่งโปรตีนที่ได้จะมาจากพวกธัญพืชและพวกถั่วชนิดต่าง ๆหรือได้จากผลไม้เปลือกแข็งชนิดต่าง ๆ เช่น เกาลัด เป็นต้น

และที่เคร่งครัดที่สุดคือกลุ่มผู้บริโภคอาหารมังสวิรัติบริสุทธิ์บางกลุ่มซึ่งนอกจากจะไม่รับประทานอาหารใด ๆ ที่มาจากเนื้อสัตว์แล้ว ยังมีการกำหนดสัดส่วนของอาหารที่จะรับประทานเข้าไปในแต่ละมื้ออีกด้วย เช่นบางกลุ่มเลือกรับประทานอาหารจำพวกธัญพืช ประมาณ 20% รับประทานผลไม้ไม่เกิน 30% รับประทานผักไม่เกิน 50% และของหวานที่มาจากพืชไม่เกิน 5%

เป็นอย่างไรบ้างครับ ทำความเข้าใจถึงอาหารมังสวิรัติบริสุทธิ์กันไปแล้วอย่างพึ่งท้อใจนะครับ เรามาเริ่มต้นง่ายๆ ด้วยการหันมารับประทาน อาหารคลีน (Clean Food) กันก่อนเป็นอันดับแรกดีกว่าครับ

วันพฤหัสบดีที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

Dcleanfood.com : การจัดกลุ่มของผู้บริโภคอาหารมังสวิรัติ

ตามที่เรานำเสนอไปในตอนก่อน ๆ นะครับ คำว่ามังสวิรัติในภาษาอังกฤษคือ Vegetarian ซึ่งมีรากศัพท์ในภาษาละตินคล้ายคลึงกับคำว่า Vegetable ซึ่งแปลว่าผักในภาษาอังกฤษ ดังนั้นส่วนประกอบสำคัญของอาหารมังสวิรัติจึงได้แก่ผักและผลไม้ชนิดต่าง ๆอาหารมังสวิรัติไม่เหมือนกับ อาหารคลีน (Clean Food) ตรงที่อาหารคลีน (Clean Food) ยังมีการับประทานเนื้อสัตว์กันอยู่บ้างเล็กน้อย แต่อาหารมังสวิรัติจะงดเว้นเนื้อสัตว์โดยสิ้นเชิง อาหารที่เป็นมังสวิรัตินอกจากพืชผักและผลไม้แล้วยังมี ข้าวที่ไม่ผ่านการขัดสีหรือข้าวกล้องข้าวซ้อมมือ ขนมปังที่ได้จากข้าวสาลีที่ไม่ขัดสีหรือขนมปังโฮลวีท นม, ไข่, ถั่วชนิดต่าง ๆ รวมถึงถั่วเหลือง, เต้าหู้, ธัญพืชและงาดำ เป็นต้น โดยสรุปแล้วอาหารมังสวิรัติคืออาหารทุกชนิดยกเว้นอาหารที่มาจากเนื้อสัตว์ และเพื่อความเข้าใจในการจำแนกประเภทของอาหารมังสวิรัติ จึงมีการจำแนกหรือแบ่งกลุ่มผู้รับประทานอาหารมังสวิรัติออกเป็น 3 กลุ่มตามลักษณะและส่วนประกอบของอาหารได้ดังนี้


1. กลุ่มผู้บริโภคอาหารมังสวิรัติที่บริโภคนมและไข่ ผู้รับประทานอาหารมังสวิรัติหรือนักมังสวิรัติที่อยู่ในกลุ่มนี้ ส่วนใหญ่เป็นชาวพุทธนิกายมหายาน ชาวคริสเตียนบางกลุ่ม, ชาวฮินดูบางกลุ่ม และในประเทศไทยตัวอย่างเช่นผู้ป่วยและเจ้าที่ของโรงพยาบาลมิชชั่นกรุงเทพ โดยร้านที่จำหน่ายอาหารให้กับนักมังสวิรัติประเภทนี้จะมีอยู่มากในอเมริกาเหนือและประเทศทางแถบยุโรป

2. กลุ่มผู้บริโภคอาหารมังสวิรัตที่เลือกรับประทานนมหรือไข่อย่างใดอย่างหนึ่ง โดยไม่รับประทานทั้ง 2 อย่าง นักมังสวิรัติกลุ่มนี้เราสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่ดื่มนมจากสัตว์ แต่งดรับประทานไข่ทุกชนิด รวมทั้งไข่ปลาด้วย นักมังสวิรัติในกลุ่มนี้ได้แก่ชาวอินเดียที่นับถือศาสนาฮินดู โดยชาวอินเดียเหล่านี้จะดื่มนมจากสัตว์และนมเปรี้ยวและผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่ได้จากน้ำนมวัวเพราะในศาสนาฮินดูเชื่อว่าวัวเป็นสัตว์เลี้ยงของเทพที่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ น้ำนมที่ได้จากวัวจึงถือว่าเป็นของบริสุทธิ์สามารถรับประทานได้โดยไม่ผิด และอีกกลุ่มจะเป็นกลุ่มที่รับประทานไข่แต่จะไม่รับประทานนมที่มาจากสัตว์หรือพืชทุกชนิด นักมังสวิรัติในกลุ่มนี้ได้แก่ชาวพุทธบางกลุ่มรวมถึงผู้รับประทานอาหารมังสวิรัติบางกลุ่มที่มีอาการแพ้นม ซึ่งคนกลุ่มนี้มีความเชื่อว่าหากรับประทานนมหรือผลิตภัณฑ์จากน้ำนมแล้วจะทำให้ท้องเสีย

3. กลุ่มผู้บริโภคอาหารมังสวิรัติที่ไมบริโภคทั้งนมและไข่ หรือกลุ่มมังสวิรัติบริสุทธิ์ โดยนักมังสวิรัติในกลุ่มนี้จะไม่รับประทานผลิตภัณฑ์อาหารใดๆ ที่มาจากสัตว์ทุกชนิดเลยแม้แต่อย่างเดียว จะรับประทานอาหารที่ได้จากพืชผักและผลไม้, ธัญพืช และถั่วชนิดต่าง ๆ โดยนักมังสวิรัติบริสุทธิ์กลุ่มนี้จะมีการปฏิบัติตนอย่างเคร่งครัด โดยบางกลุ่มจะไม่รับประทานอาหารที่มาจากสัตว์เลยไม่ว่าจะเป็นน้ำผึ้งหรือนมผึ้ง นักมังสวิรัติบริสุทธิ์กลุ่มนี้หาได้ยากและมีจำนวนผู้ปฏิบัติอย่างเคร่งครัดค่อนข้างน้อย โดยคนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่ได้แก่ นักบวชหรือผู้ที่นับถือศาสนาพุทธที่มีการปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ทั้งในประเทศญี่ปุ่น,จีน, ไต้หวัน, เวียดนามและศรีลังกา เป็นต้น
 

พรุ่งนี้เราจะมาพูดถึงกลุ่มผู้บริโภคอาหารมังสวิรัติบริสุทธิ์กันต่อนะครับ ซึ่งการรับประทานอาหารมังสวิรัติบริสุทธิ์นั้นมีการปฏิบัติที่เคร่งครัดมาก บางท่านอาจจะคิดว่าการหันมารับประทาน อาหารคลีน (Clean Food) ก็ว่ายากแล้วแต่การรับประทานอาหารมังสวิรัติบริสุทธิ์นั้นยากยิ่งกว่าหลายเท่าครับ

วันพุธที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

Dcleanfood.com : เข้าใจความหมายของอาหารมังสวิรัติ

จากตอนที่แล้วที่เราพูดถึงประวัติความเป็นมาของอาหารมังสวิรัติซึ่งเป็นหนึ่งในต้นกำเนิดสำคัญของ อาหารคลีน (Clean Food) กันไปแล้ววันนี้เราจะมาพูดถึงแก่นความหมายของคำว่ามังสวิรัติว่ามีความหมายอย่่างไร มีความน่าสนใจแค่ไหนไปติดตามกันเลยครับ



ในภาษาอังกฤษอาหารมังสวิรัติใช้คำว่า Vegetarian Food คำว่ามังสวิรัติประกอบขึ้นมาจากคำสองคำ คำแรกคือ มังสะ หรือ มังสา ซึ่งมีความหมายถึงเนื้อสัตว์ต่างๆ และอีกคำคือคำว่า วิรัติ ซึ่งหมายถึงการงดเว้น, ยกเลิก, การปราศจาก เมื่อนำทั้ง 2 คำมารวมกันจึงได้ความหมายของคำว่าอาหารมังสวิรัติดังนั้นอาหารมังสวิรัติจึงหมายถึง อาหารที่ปราศจากเนื้อสัตว์ หรือการรับประทานอาหารที่งดเว้นเนื้อสัตว์

คำว่ามังสวิรัติในภาษาอังกฤษคือ Vegetarian ซึ่งมีความคล้ายคลึงกับคำว่า Vegetables ซึ่งหมายถึงผักนั่นเอง โดยคำว่า Vegetarian มีรากศัพท์มาจากภาษาละติน โดยมาจากคำว่า Vegetare, Vegetusและ Vegetables ซึ่งคำเหล่านี้ในภาษาละตินหมายถึง ความสมบูรณ์พร้อม, ความสดชื่น,ความเบิกบาน ซึ่งเป็นคำที่ใช้ในการอธิบายคุณสมบัติของพืชนั่นเอง โดยผู้ที่บริโภคแต่พืชผักและผลไม้ และยกเว้นการรับประทานเนื้อสัตว์ เราจะเรียกคนประเภทนี้ว่าผู้รับประทานมังสวิรัติหรือน้กมังสวิรัตินั่นเอง

ซึ่งนักมังสวิรัติหรือผู้รับประทานมังสวิรัตินี้คือผู้ที่มีจิตใจเมตตา, ไม่เบียดเบียนชีวิตผู้อื่น, มีความสดชื่นสดใจและความเบิกบานในการดำเนินชีวิตในแต่ละวัน มีความสงบและใช้ชีวิตเรียบง่าย วิถีของมังสวิรัตินี้เราเรียกว่า วิถีชีวิตแห่งความเป็นมังสวิรัติ หรือ Vegetarianism

ในพุทธศาสนาก็มีหลักของมังสวิรัติอยู่ในศีล 5 คือข้อ ปาณาติปาตา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ คือการงดเว้นจากการฆ่าสัตว์ในทุกกรณี ถ้าหากเราเลือกทำตามศีลข้อนี้ เราก็จะไม่เบียดเบียนชีวิตสัตว์ เลือกรับประทานแต่พืชผักและผลไม้ก็จะตรงกับหลักการของมังสวิรัติตามหลักศาสนาฮินดูเช่นเดียวกันครับการเลือกรับประทานอาหารอย่างไรขึ้นอยู่กับตัวเรา แต่ขอให้ทำความเข้าใจว่า โดยธรรมชาติแล้วมนุษย์ไม่ได้ถูกกำหนดให้กินเนื้อสัตว์ ซึ่งการรับประทาน อาหารคลีน (Clean Food) ก็ยังมีการรับประทานเนื้อสัตว์อยู่บ้างแต่ในปริมาณที่น้อย

ดังนั้นผู้ที่ปฏิบัติตนเป็นผู้รับประทานมังสวิรัติอยู่ตลอดเวลาจึงเป็นผู้ที่น่ายกย่องว่าเป็นผู้มีความเมตตากรุณา และเป็นผู้เอาชนะความต้องการของตนเองได้อย่างแท้จริง คนที่ปฏิบัติได้ดังนั้นย่อมเป็นบุคคลที่มีความเบิกบานในการดำเนินชีวิต และได้พบกับความสุขสงบอันแท้จริงในชีวิตครับ

วันอังคารที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

Dcleanfood.com : รู้จักอาหารมังสวิรัติ

ประวัติความเป็นมาของอาหารมังสวิรัติ ซึ่งเป็นต้นกำเนิดสำคัญของ อาหารคลีน (Clean Food) มีความเป็นมาอันยาวนานเริ่มตั้งแต่ยุคกรีกโบราณ โดยในยุคของปีธาโกรัสมีการบันทึกเอาไว้ว่าชาวกรีกโบราณส่วนใหญ่ไม่รับประทานเนื้อสัตว์ เนื่องจากในกรีกมีความเชื่อที่ว่าหากรับประทานเนื้อสัตว์แล้วเมื่อตายไปคนอาจจะเกิดเป็นสัตว์ได้ และสัตว์เมื่อตายไปอาจจะกลับมาเกิดเป็นคนได้ จึงเป็นเหตุให้ชาวกรีกโบราณไม่บริโภคเนื้อสัตว์เนื่องจากกลัวว่าชาติหน้าตัวเองจะเกิดเป็นสัตว์


ในยุคก่อนสมัยพุทธกาล หรือยุคก่อนพระพุทธเจ้า อาหารมังสวิรัติได้เริ่มถือกำเนิดขึ้้นในประเทศอินเดีย กำเนิดของอาหารมังสวิรัติเกิดจากคำสอนในศาสนาต่าง ๆ ในประเทศอินเดียเช่นศาสนาฮินดู พราหมณ์และศาสนาอื่น ๆ ที่มีต้นกำเนิดมาจากประเทศอินเดียมีคำสอนให้ผู้นับถือศาสนานั้น ๆ ปฏิบัติตนเป็นผู้เคร่งครัดในการรับประทานอาหารมังสวิรัติอย่างต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ทำให้นอกจากประเทศอินเดียจะเป็นต้นกำเนิดของอาหารมังสวิรัติแล้วยังมีผู้บริโภคอาหารมังสวิรัติมากที่สุดในโลกจำนวนหลายล้านคน การรับประทานอาหารมังสวิรัติโดยหลักแล้วมาจากความเชื่อและคำสอนจากศาสนาฮินดูที่กล่าวไว้ว่า การรับประทานอาหารมีผลกระทบต่อผู้รับประทานทั้งในเรื่องของร่างกาย,บุคลิก, ลักษณะนิสัย และอารมณ์ โดยคำสอนของศาสนาฮินดูเน้นเรื่องหลัก อหิงสา คือการไม่เบียดเบียนผู้อื่น และยังเชื่อว่าสัตว์ทุกชนิดมีสัญชาติญาณของตนเอง และการรับประทานเนื้อสัตว์จะทำให้คนเราก้าวร้าว มีอารมณ์รุนแรง โกรธหรือฉุนเฉียวได้ง่าย สภาพจิตว้าวุ่นขาดความสงบสุข

ชาวฮินดูเชื่อว่าอาหารมังสวิรัตินั้นมีความบริสุทธิ์ ช่วยให้ร่างกายและจิตใจมีความสงบสุขและเยือกเย็น คนที่รับประทานอาหารมังสวิรัติจะมีความเมตตาปราณีต่อสัตว์ ไม่เบียดเบียนสัตว์อื่นๆ ซึ่งความสงบ, ความเยือกเย็นและความเมตตาปราณีคุณสมบัติเหล่านี้เป็นคุณสมบัติสำคัญในการยกระดับจิตวิญญาณของคนในศาสนาฮินดูอีกด้วย เพราะศาสนาฮินดูเชื่อว่าสัตว์ทุกชนิดมีจิตวิญญาณและการทำลายจิตวิญญาณเป็นบาปหนักทำให้จิตใจและร่างกายไม่บริสุทธิ์ และไม่อาจหลุดพ้นไปพบกับความสงบสุขที่ยั่งยืน

อาหารมังสวิรัติก็มีลักษณะเดียวกับอาหารแมคโครไบโอติก ซึ่งทั้งสองต่างเป็นต้นกำเนิดของ อาหารคลีน (Clean Food) และอาหารทั้งสองชนิดต่างมีประวัติความเป็นมาอันยาวนาน และช่วยในเรื่องของการยกระดับสภาพร่างกายและจิตใจของผู้บริโภค

วันจันทร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

Dcleanfood.com : อาหารโดยธรรมชาติของมนุษย์

โดยธรรมชาติของสิ่งแวดล้อมและโดยโครงสร้างต่างๆ ของร่างกายมนุษย์ บ่งบอกให้ทราบว่ามนุษย์เหมะที่จะรับประทานพืชผักและผลไม้มากกว่าเนื้อสัตว์ มนุษย์ไม่มีกรงเล็บหรือเขี้ยวสำหรับการฉีกเนื้อสัตว์ มนุษย์ไม่สามารถรับประทานเนื้อสัตว์ดิบ ๆ ได้เนื่องจากเอนไซม์ในกระเพาะอาหารไม่สามารถย่อยเนื้อสด ๆ ได้มนุษย์มีฟันหน้าที่เรียบและแบนสำหรับกัดหรือตัดพืชผักและผลไม้และมีฟันกรามสำหรับบดเคี้ยว ไม่มีเขี้ยวสำหรับตัดอาหารเหมือนสัตว์กินเนื้อทั่วไป และร่าง ๆ ของมนุษย์ยังไม่สามารถย่อยสลายไขมันอิ่มตัวได้เหมือนกับสัตว์กินเนื้อทั่วไป ทำให้มนุษย์เมื่อสะสมไขมันอิ่มตัวเข้าสู่ร่างกายในปริมาณมากจะก่อให้เกิดโรคอ้วน โรคหัวใจ, และโรคหลอดเลือด ซึ่งโรคเหล่านี้ไม่ค่อยพบในสัตว์กินเนื้อประเภทอื่น จากข้อมูลสนับสนุนข้างต้นทำให้เราน่าจะสรุปได้ว่ามนุษย์เหมาะกับการรับประทานพืช,ผักและผลไม้ อาหารประเภทมังสวิรัติ, อาหารคลีน (Clean Food) มากกว่าการรับประทานเนื้อสัตว์ซึ่งจะให้โทษต่อร่างกายมนุษย์มากกว่า ประโยชน์ที่ร่างกายของเราจะได้รับครับ



ตามธรรมชาติแล้ว ธรรมชาติออกแบบมาให้พืช,ผักและผลไม้ สามารถรับประทานได้ทันที ในสมัยก่อนพืช,ผักและผลไม้มีอยู่ตามธรรมชาติ ไม่ได้ใช้สารเคมีในการปลูกในปัจจุบัน ทำให้พืช,ผักและผลไม้ แทบไม่มีโทษใดๆ กับร่างกายของคนเราเลย ผิดกับเนื้อสัตว์ที่มนุษย์ไม่สามารถกัดกินดิบ ๆ ได้เพราะนอกจากเนื้อดิบจะมีความเหนียวที่มนุษย์ไม่สามารถกัดหรือเคี้้ยวได้แล้ว กระเพาะอาหารของคนเรายังไม่สามารถย่อยเนื้อสัตว์สด ๆ เพื่อนำมาใช้เป็นพลังงานให้แก่ร่างกายได้อีกด้วย มนุษย์ยุคก่อนจึงต้องนำเนื้อสัตว์มาปรุงให้สุกโดยการต้ม หรือปิ้งย่าง ก่อนที่จะรับประทานเข้าไป โดยมีการค้นพบว่ามนุษย์ในยุคแรก ๆ รับประทานแต่พืช,ผักและผลไม้ โดยมนุษย์ในยุคนั้นมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงไม่เจ็บป่วยบ่อย แต่เมื่อมนุษย์มีพัฒนาการทางสมองเพิ่มมากขึ้น เห็นสัตว์บางชนิดกินเนื้อสัตว์ด้วยกัน มนุษย์จึงได้หาวิธีรับประทานเนื้อสัตว์ดูบ้าง และพบว่าเนื้อสัตว์ปรุงสุกนั้นมีกลิ่นและรสชาติดี ให้พลังงานกับร่างกายสูง มนุษย์จึงเริ่มรับประทานเนื้อสัตว์มาตั้งแต่บัดนั้น

และในเวลาต่อมามีมนุษย์บางกลุ่มเลือกรับประทานเนื้อสัตว์มากกว่ารับประทานพืชผักและผลไม้ที่ตนเองคุ้นเคย ทำให้มนุษย์กลุ่มนั้นมีปัญหาทางด้านสุขภาพ และเป็นโรคหลายอย่างที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคเนื้อสัตว์และไขมันในสัตว์ และไม่รับประทานพืช,ผักและผลไม้ ตามความเหมาะสมหรือความต้องการของร่างกายเหมือนในอดีตที่ผ่านมา ซึ่งเป็นสาเหตุให้มนุษย์กลุ่มนั้นเริ่มต้องเผชิญกับโรคร้ายต่าง ๆ มากมายเช่น โรคหัวใจ, โรคหลอดเลือด, โรคอ้วนและโรคมะเร็งในระบบทางเดินอาหาร

เห็นไหมครับว่าธรรมชาติสร้างให้มนุษย์เรารับประทานพืช,ผัก และผลไม้ แต่เมื่อคนเราวิวัฒนาการขึ้นก็เลือกรับประทานอาหารที่ชอบ เน้นที่รสชาติต้องอร่อยถูกปาก โดยไม่คำนึงถึงอันตรายที่ร่างกายจะได้รับ ดังนั้นเราไม่ควรฝืนธรรมชาติของตัวเราเองหันมารับประทานพืชผักและผลไม้ , อาหารมัวสวิรัติ หรือ อาหารคลีน (Clean Food) กันดีกว่านะครับ

วันอาทิตย์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

Dcleanfood.com : ทานเนื้อสัตว์มากเกินไป ระวังมะเร็งถามหา

เนื้อสัตว์เป็นสิ่งที่คนในยุคปัจจุบันนิยมรับประทานกัน เนื่องจากมีรสชาติและกลิ่นน่ารับประทาน นอกจากนี้เนื้อสัตว์ยังให้โปรตีนสูงเมื่อเทียบกับอาหารหลายประเภท แต่ในปัจจุบันมีผลการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ออกมาแล้วว่า การรับประทานเนื้อสัตว์ในปริมาณที่มากเกินไปเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็งชนิดต่าง ๆ มากมาย ในเมนูของ อาหารคลีน (Clean Food) จะไม่นิยมนำเนื้อสัตว์มาประกอบอาหารเลยเนื่องจากเนื้อสัตว์ย่อยยากไม่เหมาะกับระบบทางเดินอาหารของคนเรา


ในส่วนของโรคมะเร็ง มีผลการวิจัยล่าสุดในอเมริกาพบว่าผู้ชายอายุ 45 - 75 ปีที่นิยมบริโภคเนื้อสัตว์อย่างต่อเนื่องยาวนานเป็นเวลา 10 ปีขึ้นไปมีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งลำไส้ทั้งลำไส้เล็กและลำไส้ใหญ่มากกว่าคนปกติทั่วไปถึวไปถึง 3 เท่า และจากผลการวิจัยยังพบอีกว่าผู้ชายในอเมริการับประทานเนื้อสัตว์มากกว่า 85 กรัมต่อวัน หรือเท่ากับการบริโภคแฮมเบอร์เกอร์ 1 ชิ้น และสำหรับผู้หญิงในอเมริกาก็มีอัตราการรับประทานเนื้อสัตว์อยู่ในเกณฑ์ที่สูงมากเช่นเดียวกันโดยอยู่ที่ 56 กรัมต่อวัน และการรับประทานเนื้อที่ผ่านกระบวนการปรุงแต่งเช่น เบคอน, ไส้กรอก, แฮม ในปริมาณที่มากเกินกว่าที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันจะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งขึ้นอีก 50%

เนื้อสัตว์ที่ผ่านการปรุงจนสุกแล้วก็ใช่ว่าจะปลอดภัยนะครับ เพราะเนื้อสัตว์ที่ผ่านการปรุงจนสุกแล้วจะมีสารโรโซคลิกเอมิน สารอันตรายที่เป็นตัวก่อให้เกิดมะเร็ง และมีการค้นพบว่าธาตุเหล็กในเนื้อยังอาจก่อให้เกิดมะเร็งในลำไส้และทางเดินอาหารได้ จากที่กล่าวมาทั้งหมดไม่ได้หมายความว่าจะให้เรางดรับประทานเนื้อสัตว์แล้วหันมารับประทานอาหารสุขภาพหรือ อาหารคลีน ( Clean Food ) กันหมดแต่การเลือกรับประทานเนื้อสัตว์แต่พอเหมาะ หรือเลือกรับประทานโปรตีนจากเนื้อปลาแทนก็จะสามารถลดความเสี่ยงในการก่อมะเร็งได้ครับ

วันเสาร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

Dcleanfood.com : ประโยชน์ของผักและผลไม้หลากสี

ต่อจากตอนที่แล้วเรากล่าวถึงการเลือกรับประทานผักใบเขียวและประโยชน์ที่เราจะได้รับจากการรับประทานผักใบเขียวกันไปแล้ว วันนี้เรามาพูดถึงผักและผลไม้หลากสีให้ครบทั้ง 5 สีกันเลยดีกว่าครับ



ปัจจุบันมีผลการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ระบุว่า คนไทยไม่ว่าชายหรือหญิงต่างรับประทานผักและผลไม้ต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่องศ์การอนามัยโลกกำหนดมาตรฐานไว้อยู่มาก ทั้งที่ผักและผลไม้มีคุณค่าทางโภชนาการและมีประโยชน์ต่อร่างกายของเราอย่างมากมายมหาศาล ทั้งช่วยในการย่อยอาหาร, ป้องกันโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ รวมไปถึงลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งชนิดต่าง ๆ เห็นประโยชน์ของผักและผลไม้กันอย่างนี้แล้ว เราจะไม่ลองหันมารับประทานผักหรือผลไม้กันให้มากกว่าเดิมหรือครับ นอกจากนี้ผักและผลไม้ยังมีสีสันสดใส และมีสีต่าง ๆ ให้เราเลือกรับประทานตามความชอบซึ่งผักและผลไม้เหล่านี้หากนำไปประกอบเป็น อาหารคลีน (Clean Food) ก็จะเพิ่มความน่ารับประทานของอาหารมากทีเดียว และเคยสงสัยกันหรือไม่ครับว่าผักและผลไม้สีต่าง ๆ มีประโยชน์แตกต่างกันอย่างไรบ้าง วันนี้เรามาดูประโยชน์ของผักและผลไม้ทั้ง 4 สีที่เหลือกันดีกว่าครับ
ประโยชน์ของผักและผลไม้สีแดง
สารอาหารตัวสำคัญที่อยู่ในผักและผลไม้สีแดงได้แก่ ไลโคปีนเพราะไลโคปีนเป็นสารจำพวกสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดการเกิดภาวะเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็งได้ โดยเฉพาะโรคมะเร็งต่อมลูกหมากในผู้ชาย นอกจากนี้ผักและผลไม้สีแดงยังช่วยในเรื่องการดูแลหลอดเลือด การบำรุงหัวใจ และช่วยให้ระบบทางเดินปัสสาวะทำงานได้ดีขึ้นนอกจากนี้สารบางอย่างในผักและผลไม้สีแดงยังช่วยลดรอยแผลหรือ ริ้วรอยบนใบหน้าของเราได้เป็นอย่างดีอีกด้วย
ตัวอย่างผักและผลไม้สีแดง : มะเขือเทศ, แตงโม, สตอร์เบอร์รี่, เชอร์รี่, บีทรูทและชมพู่เป็นต้น

ประโยชน์ของผักและผลไม้สีม่วง
สารอาหารสำคัญที่อยู่ในผักและผลไม้สีม่วงได้แก่ แอนโธไซยานิน ซึ่งสารแอนโธไซยานินนี้เป็นสารต้อต้านอนุมูลอิสระเช่นเดียวกัน โดยจะช่วยในเรื่องของการลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ต่าง ๆ ภายในร่างกาย ช่วยกระตุ้นเลือดภายในร่างกายไม่ให้จับตัวกันเป็นก้อน
ตัวอย่างผักและผลไม้สีม่วง : กะหล่ำม่วง, องุ่น, หอมหัวแดง, บลูเบอร์รี่และแบล็คเบอร์รี่เป็นต้น

ประโยชน์ของผักและผลไม้สีส้มและสีเหลือง
สารอาหารสำคัญที่อยู่ในผักและผลไม้สีส้มและสีเหลืองมีมากมายหลายชนิด เช่น เบต้า-แคโรทีน, ลูทีน และฟลาโวนอยด์ อันเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีความสำคัญด้วยกันทั้งสิ้น ซึ่งช่วยบำรุงสายตา ชะลอความเสื่อมของจอประสาทตา, ช่วยล้างพิษในร่างกายของเราและช่วยลดระดับคอเรสเตอรอลได้
ตัวอย่างผักและผลไม้สีส้มและสีเหลือง : ข้าวโพด, แครอท, ฟักทอง, ขนุน, มะม่วงสุกและสัปปะรดเป็นต้น

ประโยชน์ของผักและผลไม้สีขาว
สารอาหารสำคัญที่อยู่ในผักและผลไม้สีขาวได้แก่ กรดไซแนบติกและสารแซนโทน ซึ่งมีคุณสมบัติในการต้านมะเร็ง ต้านอาการอักเสบ หรือเจ็บปวดต่าง ๆ ช่วยควบคุมน้ำตาลในเลือดไม่ให้สูงเกินไป และช่วยลดอาการอักเสบของข้อต่อต่าง ๆ ภายในร่างกาย นอกจากนี้ยังมีสารอัลลิซิน ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดเนื้องอกในจุดต่าง ๆของร่างกาย และช่วยในเรื่องของหัวใจและหลอดเลือด
ตัวอย่างผักและผลไม้สีขาว : กระเทียม, เห็ด, ขิง, ข่า, เนื้อแอปเปิ้ล และเนื้อฝรั่งเป็นต้น

ผักและผลไม้สีสันสดใสเหล่านี้เป็นส่วนประกอบสำคัญของ อาหารคลีน (Clean Food) ได้มากมายหลายเมนูนะครับ อ่านแล้วลองกลับไปทานผักและผลไม้สีสันสดใสเหล่านี้เพื่อประโยชน์ของร่างกายกันดีกว่าครับ

วันศุกร์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

Dcleanfood.com : รับประทานผักใบเขียวอย่างไร ให้ได้ประโยชน์สูงสุด

วันนี้เรามาพูดถึงผักกันบ้างนะครับ สำหรับบางท่านเวลาที่เราพูดถึงผักอาจจะรู้สึกไม่ชอบรับประทานเพราะผักบางชนิดมีรสขม แต่ผักทุกชนิดเป็นส่วนประกอบสำคัญของอาหารคลีน (Clean Food)และมีประโยชน์มากมายหลายประการต่อผู้คนทุกเพศทุกวัย วันนี้เรามาลองดูประโยชน์ของผักใบเขียวกันดูนะครับว่ามีอะไรกันบ้าง



ประโยชน์ของผักใบเขียว
ผักใบเขียวมีสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายของเรามากมาย เช่น คลอโรฟิลล์, เบต้าแคโรทีน, แคลเซียม, และวิตามิน E ซึ่งวิตามิน E นี้จะมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งสารอนุมูอิสระนี่เองเป็นตัวสำคัญที่ทำเกิดโรคมะเร็งชนิดต่าง ๆ นอกการรับประทานผักใบเขียวจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะโรคหัวใจ และช่วยบำรุงสมองทำให้สมองสามารถจดจำสิ่งต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดีและที่สำคัญผักใบเขียวยังมีประโยชน์มากในเรื่องสายตาและการมองเห็น เพราะผักใบเขียวมีสารจำพวกแคโรทีน ถึงสองชนิดได้แก่ ลูทีนและซีแซนทีน ซึ่งมีส่วนสำคัญในการช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดจอประสาทตาเสื่อม และโฟเลตในผักใบเขียวยังช่วยชะลอโรคความจำเสื่อมได้เป็นอย่างดีอีกด้วยนะครับ

ประโยชน์ของคลอโรฟิลล์ต่อร่างกาย
- ช่วยให้ร่างกายสามารถรักษาสมดุลของเกลือแร่ภายในร่างกาย
- ช่วยลดและชะลอความเสื่อมของเซลล์ต่าง ๆ ภายในร่างกาย
- คลอโรฟิลล์สามารถช่วยในการขับสารพิษต่าง ๆ ออกจากร่างกาย ซึ่งสารพิษเหล่านี้ร่างกายอาจจะได้รับมาจากการรับประทานอาหารหรือการหายใจ
- ช่วยในการเผาผลาญสารต่าง ๆที่เรารับประทานเข้าไปทั้ง ไขมัน, โปรตีน และคาร์โบไฮเดรต
- ช่วยป้องกันและบรรเทาอาหารปวดหัว
- ช่วยให้ประสิทธิภาพในการซ่อมแซมส่วนต่าง ๆ ภายในร่างกายทำได้ดีขึ้น
- ช่วยให้กล้ามเนื้อมีการผ่อนคลายและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ประโยชน์ของแคลเซี่ยมที่มีในผักใบเขียวต่อร่างกาย
แคลเซี่ยมในผักใบเขียว ช่วยให้กระดูกและฟันแข็งแรง ช่วยให้การทำงานของระบบประสาทและสมองดีขึ้น แคลเซี่ยมในผักใบเขียวยังช่วยให้เลือดแข็งตัวได้เร็วในกรณีที่ร่างกายเกิดบาดแผลต่าง ๆ และยังช่วยให้กล้ามเนื้อยืดขยายหรือหดตัวได้อย่างยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้น

ประโยชน์ของใยอาหารในผักใบเขียว
ผักใบเขียวทุกชนิดมีใยอาหารที่ช่วยในเรื่องของการขับถ่ายในระบบทางเดินอาหาร และสามารถป้องกันไม่ให้เกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ หรือโรคมะเร็งที่เกี่ยวข้องกับทางเดินอาหารชนิดอื่น ๆ อีกด้วย

การรับประทานผักใบเขียวที่ถูกต้องและ ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อร่างกาย
การรับประทานผักใบเขียวควรเลือกรับประทานผักใบเขียวที่ไม่ใช้สารเคมี หรือผักปลอดสารพิษ การจะได้รับสารอาหารจากผักใบเขียวอย่างครบถ้วนสมบูรณ์เราควรเลือกรับประทานผักสด แต่ถ้าผ่านการปรุงก็ควรปรุงแค่เล็กน้อยด้วยเครื่องปรุงรสตามธรรมชาติ

ตามหลักการของ อาหารคลีน (Clean Food) ร่างกายจะได้ประโยชน์จากผักใบเขียวมากที่สุดครับ ผักใบเขียวเป็นผักที่ราคาไม่แพงและมีให้รับประทานตลอดปี เช่น ผักบุ้ง, ผักกระเฉด, ใบยอ, ใบชะพลู, ยอดกระถิน เป็นต้น เมื่อพวกเราทราบถึงประโยชน์ของผักใบเขียวที่มีต่อร่างกายแล้ว มื้ออาหารวันนี้เรามารับประทานผักใบเขียวกันดีกว่านะครับ

วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

Dcleanfood.com : อาหารเช้า มื้อสำคัญของทุกวัน

ย้อนหลังไปเมื่อ 4-5 ปีก่อนด้วยความรีบเร่งในการเดินทางและการดำเนินชีวิต ทำให้ผมใช้เหตุผลข้อนี้เป็นข้ออ้างในการไม่รับประทานอาหารเช้า และเมื่อผมได้ทราบถึงประโยชน์ของการรับประทานอาหารเช้า ผมจึงปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหันมารับประทานอาหารเช้าให้บ่อยมากยิ่งขึ้นและพยายามจะรับประทานอาหารเช้าในทุก ๆ วัน ซึ่งอาหารเช้าเป็นอาหารมื้อที่มีความสำคัญและมีประโยชน์มากที่สุดต่อร่างกายของเรา เรามาเรียนรู้ถึงประโยชน์ของอาหารเช้าด้วยกันนะครับ แล้วท่านจะทราบว่าอาหารเช้ามีประโยชน์มากเพียงใด


ประโยชน์ของการรับประทานอาหารเช้า

1. ประโยชน์ทางด้านระบบประสาทและสมอง เพราะการทานอาหารเช้าจะทำให้ระดับน้ำตาลกลูโคสในร่างกายอยู่ในระดับปกติ การงดรับประทานอาหารเช้าจะทำให้ระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือดต่ำ ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อสมองเนื่องจากสมองต้องการกลูโคสไปหล่อเลี้ยงตลอดเวลา นอกจากนี้้การรับประทานอาหารเช้าจะช่วยในเรื่องระบบความจำของสมอง ทักษะในการเรียนรู้ในสิ่งต่างของสมอง ดีขึ้น

2. ป้องกันการเกิดโรคเบาหวาน จากข้อที่แล้วนะครับถ้าเราไม่รับประทานอาหารเช้าระดับน้ำตาลของเราก็จะอยู่ในภาวะผิดปกติ รวมถึงอาจจะทำให้เกิดภาวะความผิดปกติของอินซูลินในร่างกายอีกด้วย ซึ่งภาวะความผิดปกติของอินซูลินนี้ เป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคเบาหวานนั่นเอง

3. ช่วยให้ร่างกายแข็งแรงเจริญเติบโตขึ้นตามวัย การงดรับประทานอาหารเช้าในเด็กนั้นมีผลเสียเป็นอย่างมาก เพราะการไม่รับประทานอาหารเช้าจะทำให้เด็กไม่ได้รับสารอาหารที่เพียงพอ ทำให้ร่างกายไม่เจริญเติบโตขึ้นตามวัย หรือขาดสารอาหารบางอย่างที่จำเป็นต่อร่างกาย และอาจส่งผลไปถึงสมอง อารมณ์ และสมาธิของเด็กในระยะยาวด้วย

4. ช่วยป้องกันโรคอ้วนได้เป็นอย่างดี ในกรณีที่เราไม่รับประทานอาหารเช้า แต่ร่างกายยังคงต้องการอาหารและพลังงานในปริมาณเท่าเดิม ดังนั้นเราจะต้องรับประทานอาหารมากขึ้นในมื้อเที่ยงและมื้อเย็น ซึ่งการรับประทานอาหารจำนวนมากในมื้อเย็นส่งผลต่อน้ำหนักและโรคอ้วนของคนเราเป็นอย่างมาก เพราะเป็นมื้อที่มีการเผาผลาญน้อยที่สุด ดังนั้นเราควรรับประทานอาหารให้ครบ 3 มื้อในปริมาณที่พอเหมาะ

5. ช่วยลดความเสี่ยงของอาการโรคหัวใจและโรคหลอดเลือด มีผลการวิจัยทางการแพทย์ระบุว่า การรับประทานอาหารเช้าอย่างพอเหมาะและสม่ำเสมอนั้น สามารถลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดได้ เพราะว่าการรับประทานอาหารเช้าจะช่วยลดความเข้มข้นของเลือด ซึ่งในปกติแล้วตอนเช้าเลือดของคนเราจะมีความเข้มข้นสูงมาก อาจจะทำให้เลือดที่ส่งไปเลี้ยงสมอง หรือหัวใจเกิดอาการอุดตันได้

ทราบประโยชน์ของการรับประทานอาหารเช้ากันไปบ้างแล้วนะครับ ซึ่งการรับประทานอาหารเช้าควรรับประทานอาหารที่ให้พลังงานและมีประโยชน์ต่อร่างกายหากเราเลือกรับประทาน อาหารคลีน (Clean Food) หรืออาหารสุขภาพอื่น ๆ ควรคำนึงสารอาหารอื่น ๆ ที่ร่างกายเราต้องการด้วยนะครับ ดังนั้นใครที่งดรับประทานอาหารเช้าอยู่ เรามาเปลี่ยนพฤติกรรมโดยการรับประทานอาหารเช้าทุกวันอย่างสม่ำเสมอกันดีกว่านะครับ เพื่อสมองและสุขภาพที่แข็งแรงของเรา

บทความ : อาหารคลีน (Clean Food)

วันพุธที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

Dcleanfood.com : เคี้ยวอาหารอย่างไรให้สุขภาพดี ห่างไกลจากโรคภัยไข้เจ็บ

การใช้ชีวิตของคนในยุคปัจจุบันที่มีการแข่งขันสูง มีความเร่งรีบในการใช้ชีวิตทั้งเรื่องการเดินทาง, การทำงาน หรือแม้แต่การรับประทานอาหาร และการรับประทานอาหารด้วยความรีบเร่งนี้ทำให้บางครั้งเรามักไม่เคี้ยวอาหารให้ละเอียดซึงการเคี้ยวอาหารไม่ละเอียดนั้นส่งผลเสียต่อร่างกายของคนเราเป็นอย่างมากนะครับ และอาหารในยุคปัจจุบันมีทั้งเนื้อสัตว์, ไขมัน, แป้งหรือน้ำตาลเป็นส่วนประกอบในปริมาณมาก การรับประทาน อาหารคลีน (Clean Food) ก็สามารถช่วยระบบการย่อยอาหารของเราได้บ้างแต่ทางที่ดีเราควรเคี้ยวอาหารให้ละเอียดทุกครั้งนะครับ


ผลเสียของการเคี้ยวอาหารไม่ละเอียด

1. ผลเสียต่อระบบทางเดินอาหาร
การที่เราเคี้ยวอาหารที่รับประทานเข้าไปไม่นานพอหรือไม่ละเอียดมากพอ ซึ่งสิ่งที่รับประทานเข้าไปนั้นทั้งอาหารจำพวก โปรตีน, ไขมัน และคาร์โบไฮเดรต ซึ่งเป็นอาหารที่ย่อยยากมาก เมื่อเราไม่เคี้ยวอาหารให้ละเอียด อาหารเหล่านั้นจะไม่แหลกหรือละเอียดก่อนที่จะเข้ามายังกระเพาะอาหารเมื่ออาหารที่เข้าสู่กระเพาะอาหารมีขนาดใหญ่เกินไปกระเพาะอาหารไม่สามารถย่อยหรือดูดซึมเอาไปใช้ประโยชน์ได้ อาหารที่เรารับประทานเหล่านั้น จะกลายเป็นของเสียที่ถูกส่งไปยังลำไส้ใหญ่ เมื่อมีเรามีพฤติกรรมเคี้ยวอาหารไม่ละเอียดติดต่อกันเป็นเวลานาน ของเสียที่ลำไส้ใหญ่ของเราก็จะมีการสะสมมากขึ้นและอาจทำให้ผนังลำไส้ใหญ่ชำรุดเสียหายจนไม่สามารถสกัดกั้นของเสีย, สารพิษ หรือเชื้อโรคต่าง ๆ ได้อีกต่อไป ของเสียเหล่านั้นอาจแพร่เข้าสู่กระแสเลือด นอกจากนี้ยังอาจเกิดโรคระบบทางเดินอาหารอื่น ๆ มากมายตัวอย่างเช่น

- อาการท้องผูก
- อาการท้องอืด, ปวดท้อง, อาหารไม่ย่อย
- โรคลำไส้อักเสบ
- แผลในช่องปาก
- โรคริดสีดวงทวารหนัก เป็นต้น

คราวนี้เราลองมาดูประโยชน์ของการเคี้ยวอาหารให้ละเอียดกันบ้างครับ

1. ผลดีต่อสมอง เพราะเมื่อเราทำการเคี้ยวอาหารนั้นต่อมใต้หูจะทำการหลั่งฮอร์โมนออกมาซึ่งฮอร์โมนนี้มีส่วนช่วยในการพัฒนาสมองและระบบความคิดของเรา และในระหว่างที่เราทำการเคี้ยวอาหารนั้นสมองจะได้รับออกซิเจนเพิ่มขึ้นทำให้สมองปลอดโปร่ง มีความสดชื่นมากขึ้นอีกด้วย
2. ผลดีต่อระบบทางเดินอาหาร เพราะการเคี้ยวอาหารเป็นการกระตุ้นระบบการย่อยอาหารทั้งระบบ
3. การเคี้ยวอาหารจะเป็นการกระตุ้นให้ร่างกายผลิตน้ำลายเพิ่มมากขึ้น ทำให้ช่องปากมีความชุ่มชื่น และไม่เกิดอาหารกระหายน้ำ
4. เพิ่มรสชาติให้อาหารมากขึ้น
5. ทำให้เหงือกและฟันแข็งแรง

เห็นผลดีของการเคี้ยวอาหารให้ละเอียดกันแล้วนะครับ การเคี้ยวอาหารให้ละเอียดมีประโยชน์ทั้งกับสมองและร่างกาย ไม่ว่าเราจะรับประทานอาหารประเภทใด ถึงจะเป็น อาหารคลีน (Clean Food) อาหารเพื่อสุขภาพต่าง ๆ ก็ต้องไม่ลืมที่จะเคี้ยวอาหารให้ละเอียดทุกครั้งนะครับเพื่อสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง และลดความเสี่ยงของโรคที่เกี่ยวกับระบบทางเดินอาหารได้เป็นอย่างดีครับ


วันอังคารที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

Dcleanfood.com : พฤติกรรมการบริโภคของคนในยุคปัจจุบันอันเป็นสาเหตุให้เกิดโรคและความเจ็บป่วย

บทความ อาหารคลีน (Clean Food)


ในยุคปัจจุบันสาเหตุการตายอันดับหนึ่งของคนไทยได้แก่โรคมะเร็ง ซึ่งเป็นโรคเรื้อรัง สาเหตุที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งนั้นยังไม่มีการระบุเอาไว้อย่างแน่ชัด แต่จากผลการวิจัยและผลการทดลองทางการแพทย์พบว่า มาจากการขาดความสมดุลของร่างกาย จนส่งผลให้เซลล์ในร่างกายเกิดการกลายพันธุ์ (Mutation) โอกาสที่จะเกิดการกลายพันธุ์ของเซลล์ในปัจจุบันมีอัตราที่สูงมากขึ้นโดยร่างกายของคนเรามีการสร้างและแบ่งตัวของเซลล์เพื่อแทนที่เซลล์ที่ตายไปประมาณ 1,000 ล้านเซลล์ และโอกาสที่ร่างกายของเราจะก่อเกิดเซลล์ที่มีกลายพันธุ์อาจมีถึงประมาณวันละ 1,000,000 เซลล์ต่อวัน และถ้าหากว่าแนวคิดที่ว่าภาวะการเกิดโรคมะเร็งเกิดจากการกลายพันธุ์ของเซลล์ในร่างกายของคนเราจริง ๆ โอกาสที่คนในยุคปัจจุบันจะเป็นโรคมะเร็งจะมีสูงมาก แต่ก็ยังไม่มีการออกมาสนับสนุนหรือยืนยันแนวความคิดนี้อย่างชัดเจน เพราะนอกจากแนวความคิดเรื่องการกลายพันธุ์ของเซลล์ก่อให้เกิดโรคมะเร็งนั้น ยังมีผู้สนับสนุนสาเหตุอื่นๆ อีกมากมายเช่น ความผิดปกติและความไม่สมดุลของฮอร์โมนในร่างกาย ,ปัญหาสภาพจิตและอารมณ์, การสัมผัสสนามแม่เหล็กไฟฟ้าและรังสีต่าง ๆ เป็นต้น

และที่เป็นสาเหตุสำคัญประการหนึ่งของโรคมะเร็ง ที่เราจะมองข้ามไปไม่ได้คือพฤติกรรมการบริโภคของคนในยุคปัจจุบัน เพราะอาหารที่เรารับประทานเข้าไปนั้นสามารถสร้างเสริมให้ร่างกายแข็งแรงมีสุขภาพที่ดีได้ แต่อาหารประเภทอื่น ๆ ที่มีผลเสียต่อร่างกายก็อาจจะเข้าไปทำลายความสมดุลในร่างกายทำให้ร่างกายอ่อนแอจนเกิดความเจ็บป่วยเลยก็เป็นได้ โดยมีผลการวิจัยหนึ่งในอเมริการะบุว่ากว่า 60% ของการเกิดเนื้องอกในเพศหญิงและ 40% ของการเกิดเนื้องอกในเพศชาย มีสาเหตุมาจากพฤติกรรมการรับประทานอาหารที่ผิด ซึ่งคนไทยในปัจจุบันก็มีแนวโน้มและความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งไม่ต่างจากคนอเมริกามากมายนักโดยในปัจจุบันคนไทยมีพฤติกรรมการบริโภคที่ผิด และก่อให้เกิดภาวะเสี่ยงในการเป็นโรคต่าง ๆ ดังนี้


1. ในระยะเวลา 1 ปี คนในยุคปัจจุบันได้รับน้ำตาลจากอาหารมากถึง 32 กิโลกรัมต่อคนและมีแนวโน้มที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ จากผลการวิจัยและผลการทดลองทางการแพทย์และบทความก่อนหน้านี้ของเราก็ได้กล่าวถึงน้ำตาลว่าเป็นสาเหตุของโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ มากมาย เช่นโรคเบาหวาน, ความดันโลหิต และเป็นสาเหตุสำคัญของโรคมะเร็งประเภทต่าง ๆ เช่น มะเร็งในช่องปาก, มะเร็งกล่องเสียง, มะเร็งกระเพาะอาหาร, มะเร็งตับอ่อน, มะเร็งปอด, มะเร็งเต้านม, และมะเร็งลำไส้เป็นต้นการรับประทานน้ำตาลในปริมาณมากในช่วงแรก ๆ ทำให้ร่างกายหลั่งสารอินซูลินมากจนเกินไป จนในที่สุดร่างกายเกิดอาการต่อต้านอินซูลิน ทำให้ฮอร์โมนในร่างกายเกิดความผิดปกติ ทำให้เกิดโรคอ้วน และโรคเบาหวานในที่สุด

เห็นผลเสียของการรับประทานน้ำตาลกันไปแล้วนะครับ ต่อไปควรหลีกเลี่ยงน้ำตาลในแต่ละมื้อหรือทานน้้ำตาลจากธรรมชาติในปริมาณที่เหมาะสมตามที่ร่างกายต้องการกันดีกว่านะครับ จะได้ไม่ต้องกังวลว่าเราจะเป็น โรคอ้วน, โรคเบาหวาน หรือโรคมะเร็งในที่สุดครับ

บทความ : อาหารคลีน (Clean Food)